‘ปีศาจ’ วรรณกรรมอมตะที่ได้รับการพิสูจน์คุณค่าแล้วโดยกาลเวลา
นารินทร์ ทองดี
นางาซาวะ ตัวละครตัวหนึ่งในนิยายของ ฮารูกิ มูราคามิ เรื่อง Norwegian Wood หรือที่มีชื่อในภาษาไทยสำนวนแปลของคุณนพดล เวชสวัสดิ์ว่า ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย ได้กล่าวกับโทรุ วาตานาเบะ ตัวละครเอกของเรื่องว่าเขาจะไม่อ่านหนังสือเล่มใดที่นักประพันธ์เสียชีวิตไปยังไม่ถึง 30 ปี
นับว่าเป็นการตั้งเงื่อนไขในการค้นหา ‘วรรณกรรมชั้นดี’ ที่เข้าท่าไม่น้อย เพราะด้วยเหตุผลง่ายๆ คือ กาลเวลาจะช่วยพิสูจน์ทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้นการที่นิยายสักเรื่องจะอยู่ยงคงกระพันข้ามกาลเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าผู้ประพันธ์ได้ล่วงลับไปแล้วนั้น ย่อมหมายถึงการได้พิสูจน์ ‘คุณค่า’ ของตัวเองอย่างไม่ต้องสงสัย
สำหรับ ‘ปีศาจ’ ที่ผมหยิบขึ้นมาอ่านอีกรอบในครั้งนี้ มิได้ใช้หลักการของนายนางาซาวะ ในข้อที่ว่านักเขียนคนนั้นต้องตายไปแล้วอย่างน้อย 30 ปี แต่ใช้หลักในแง่กาลเวลา ซึ่งนับได้เกินครึ่งศตวรรษแล้วที่นิยายเรื่องนี้ถือกำเนิดขึ้นในบรรณพิภพ และท่านผู้ประพันธ์ยังคงมีชีวิตอยู่ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานคณะที่ปรึกษาบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน)
การหยิบ ‘ปีศาจ’ ขึ้นมาอ่านรอบนี้ แตกต่างจากการอ่านรอบแรกเมื่อหลายปีก่อน ครั้งนั้นอ่าน ‘เอาสนุก’ และแอบ ‘ซึมซับสำนวนภาษา’ อันเป็นลักษณะนิสัยประจำตัวของคนชอบขีดเขียน แต่ในครั้งนี้ผมอ่านอย่างพินิจพิเคราะห์ อ่านระหว่างบรรทัด อ่านอย่างครุ่นคิด และบ่อยครั้งก็อ่านอย่างสลดหดหู่ กินระยะเวลาเกือบ 3 เดือน (พ.ค.-ก.ค. 53) ที่ผมได้สัมผัส ‘ปีศาจ’ ในนิยายพร้อมๆ กับสัมผัสปีศาจในชีวิตจริงท่ามกลางกระแสความขัดแย้งของคนในสังคม
ปีศาจ เป็นเรื่องราวของคนหนุ่มสาวในยุคหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองมา 20 ปี ดำเนินเรื่องผ่านตัวละครเอกชื่อ สาย สีมา ซึ่งเป็นลูกชาวนาในจังหวัดชนบทแถบภาคกลาง (สังเกตได้จากการที่ตัวละครเดินทางสู่บางกอกโดยทางเรือ) และ รัชนี หญิงสาวที่ “…เกิดมาในสกุลขุนนางศักดินา มีสายเลือดสูงของบรรพบุรุษที่สืบสาวขึ้นไปได้ถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา” ผู้ซึ่งขบฎต่อครอบครัวของตนด้วยการเบนชีวิตสู่ชนบท
สาย สีมา เป็นลูกคนเดียวของครอบครัวที่ได้ร่ำเรียนในบางกอก สอบกฎหมายได้เป็นทนายความชั้นหนึ่ง ส่วนรัชนีก็เป็นลูกสาวในครอบครัวขุนนางหัวโบราณเพียงคนเดียวที่ได้เรียนมหาวิทยาลัย
ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดำเนินไปท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยในยุคนั้น ซึ่งเป็นยุคที่มีความชัดเจนในความหมายของคำว่าไพร่กับผู้ดี ชัดเจนในความพยายามจะดำรงอยู่ของ ‘สิ่งเก่า’ และชัดเจนอย่างยิ่งในความเปลี่ยนแปลงที่ทะลักเข้ามาสู่สังคมไทย
นอกจากนี้ ยังมีตัวละครอีกอย่างน้อย 2 ตัวที่มี ‘หัวคิดก้าวหน้า’ อันได้แก่ กิ่งเทียน และนิคม โดยกิ่งเทียนเป็นเพียงครูสามัญคนหนึ่ง เคยปรารภกับรัชนีถึงความแตกต่างในโอกาสด้านการศึกษาระหว่างลูกหลานชนชั้นสูง ชนชั้นกลาง และชนชั้นล่าง (รวมถึงคนยากจนในชนบท) ด้วยความเชื่อในแนวความคิดเช่นนี้ ทำให้กิ่งเทียนผันตัวเองจากครูสามัญที่สอนเด็กในเมือง มุ่งสู่การเป็นครูชนบทในตอนท้ายเรื่อง ส่วนนิคมนั้นหลังสำเร็จการศึกษาก็ได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการ ดำรงตำแหน่งปลัดอำเภอในชนบท และต้องเผชิญกับความคร่ำครึหลายประการในระบบข้าราชการไทย เมื่อเขาได้มีโอกาสกลับมาพบกิ่งเทียนอีกครั้ง เขาก็ระบายความอัดอั้นตันใจดังความในบทสนทนาหน้า 140 (ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 : มติชน, 2548)
“…เมื่อผมเป็นเด็กเคยตามพ่อไปอำเภอ พ่อผมเป็นชาวนาต้องนั่งพับเพียบเรียบร้อยลงกับพื้นพูดกับท่านที่อำเภอ ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้ในปัจจุบันนี้ต้องไม่มีแล้ว เมื่อเราทุกคนเสมอภาคกัน ต่อหน้ากฎหมาย เมื่อประชาธิปไตยสอนให้เราเคารพคำของคนทุกคนโดยเท่าเทียมกัน แต่ผมก็ผิดหวัง สิ่งเหล่านั้นยังเหลืออยู่ และอยู่อย่างจะไม่เปลี่ยนแปลงเสียด้วย เมื่อราษฎรมาติดต่อ ผมให้เขานั่งเก้าอี้เท่าๆกับผมด้วยความยากลำบากเหลือเกินกว่าจะให้เขาทำเช่นนั้นได้เพราะถูกกดมาเสียจนเคยชิน ผมบอกว่า
“นั่งข้างบนเถอะลุง เรามีสิทธิและค่าเท่าเทียมกันในการเป็นราษฎร และในฐานะเป็นข้าราชการผมเท่ากับเป็นคนใช้ของลุงนั่นเอง”
แกฟังอย่างไม่เข้าใจหรือไม่แน่ใจมากกว่า นั่นเป็นความจริง และเมื่อแกไปแล้วผมก็ถูกตักเตือนว่า
“ นี่คุณปลัด วิธีการของคุณน่ะใช้ไม่ได้หรอก คุณจะทำชาวบ้านกระด้างกระเดื่องปกครองยาก อย่าไปพูดถึงเรื่องสิทธิ์อะไรให้มากนักเลย เก็บไอ้สิ่งที่คุณได้เรียนมารู้มาไว้ในตู้เถอะดีกว่า เขาปกครองกันสงบเรียบร้อยมาเป็นร้อยๆปีแล้ว…”
เมื่อประมวลเอาแนวความคิดที่ตัวละครอย่างกิ่งเทียนและนิคมได้แสดงออก รวมกับแนวความคิดและวิธีการทำงานในฐานะทนายความของสาย สีมา ซึ่งเขาได้ยึดถือความกตัญญูต่อสังคมส่วนรวมมากกว่าความกตัญญูที่มีต่อบุคคล ดังเหตุการณ์ที่มหาจวน ซึ่งสาย สีมานับถือเป็นอาจารย์ได้มาขอร้องให้ช่วยดำเนินการทางกฎหมายคือ ‘ฟ้อง’ ชาวบ้านในเรื่องที่นา สาย สีมาก็เลือกที่จะปฏิเสธและก้าวไปยืนเคียงข้างชาวนาผู้ยากไร้ เหล่านี้ย่อมเป็นสิ่งที่ช่วยส่งเสริมคำนิยาม ‘วรรณกรรมเพื่อชีวิต’ ของ “ปีศาจ” ให้เห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เป็นไปได้ว่า ความเป็น ‘เพื่อชีวิต’ ในยุคนี้ได้ส่งอิทธิพลมาถึงหนุ่มสาวในยุคตุลาคม 2516 และตุลาคม 2519 เป็นผลให้วรรณกรรมเพื่อชีวิตเบ่งบานถึงขีดสุด ก่อนจะร่วงโรยในกาลถัดมา จนกระทั่งกระแสความเปลี่ยนแปลงอันเปรียบประหนึ่ง ‘ปีศาจ’ ได้คุกคามสังคมไทยในนามโลกาภิวัตน์
ผมมีความรู้สึกต่อสาย สีมา ในแง่ที่เขาเป็นพระเอกในอุดมคติ แต่มิใช่อุดมคติในนิยายเพ้อฝันประเภทที่มักกำหนดให้พระเอกเป็นคนดีแต่โง่ ทว่าพระเอกในอุดมคติที่สาย สีมาเป็น คือ ความเชื่อมั่นในตนเอง กล้าที่จะแหกกฎเกณฑ์เก่าๆที่เคยดำรงอยู่ ดังที่ปรากฏในฉากตอบโต้ด้วยวาจาคมคายต่อท่านเจ้าคุณบิดาของรัชนี
ส่วนรัชนีนั้นถ้าจะเทียบกับตัวละครทั้ง 3 ตัวข้างต้นแล้ว หล่อนคือตัวละครที่แบกรับความกดดันมากที่สุด ความต้องการเบื้องลึกที่จะออกไปสู่โลกกว้าง เพื่อจะอุทิศตนให้กับสังคมตามอุดมการณ์ที่มี กลายเป็นสิ่งที่ขัดแย้งต่อกรอบแนวคิดที่ครอบครัวกำหนด และเพื่อนชาย (สาย สีมา) ที่หล่อนเปิดประตูหัวใจรับ ก็กลายเป็นปีศาจในสายตาของผู้เป็นบิดาไป เหล่านี้จึงเป็นเหตุผลให้หล่อนต้องขบถต่อครอบครัวในท้ายที่สุด
ขณะอ่านตลอดทั้งเรื่อง จะเห็นได้ว่าท่านผู้ประพันธ์ได้ใช้คำว่า ‘ปีศาจ’ เป็นสัญลักษณ์แทนสิ่งต่างๆ ทั้งที่เป็นตัวบุคคลและเหตุการณ์ ดังที่ ตรีศิลป์ บุญขจร ได้วิเคราะห์รายละเอียดไว้ในบทตามท้ายเล่ม ดังนี้
เสนีย์ เสาวพงศ์ ใช้ปีศาจเป็นสัญลักษณ์แทนความหมายหลายความหมาย
ความหมายแรกคือ “ปีศาจขโมย” ในทัศนะของทหารญี่ปุ่นที่เห็นว่าผู้หวงแหนอธิปไตย เป็น “ปีศาจ” โดยใช้เมื่อกล่าวถึงอ้วน เพื่อนในวัยเด็กของสาย สีมาในระหว่าง “ญี่ปุ่นขึ้น” อ้วนและชาวบ้านที่เป็นไทยผู้หวงแหนอธิปไตย “รังควาน” ค่ายญี่ปุ่นด้วยการทำลายเสบียงอาหาร จนทหารญี่ปุ่นต้องรายงานว่าถูกรบกวนด้วย “ปีศาจขโมย” ซึ่งก็คือ “ปีศาจของผีเรือนที่หวงแหนบ้านของตนไม่ยอมให้ใครที่ไม่ได้เชื้อเชิญให้เข้ามาอยู่”
ความหมายที่สองของปีศาจ หมายถึง “คนอกตัญญู” ที่ตัดสินใจเลือกการเข้ารับใช้ส่วนรวมแทนการ “กตัญญู” ซึ่งเป็นเรื่องส่วนตัว มหาจวน ผู้เคยอุปการะสาย สีมา จึงประณามสายว่า “ไอ้ปีศาจตัวนี้มันอกตัญญู ฉันอุปถัมภ์มันแท้ๆ มันเนรคุณ” ปีศาจในที่นี้จึงหมายถึงผู้ชั่วร้ายในทัศนะของมหาจวนที่อกตัญญูผู้มีพระคุณหันไปช่วยเหลือชาวบ้านแทน แต่ในทัศนะของสายนั้นถือการตัดสินใจครั้งสำคัญที่เขาเลือกการอกตัญญูเพื่อที่จะรับใช้ส่วนรวม
ความหมายที่สามของปีศาจ เป็นความหมายสำคัญที่สุด เพราะเป็นแนวคิดสำคัญของเรื่อง “ปีศาจ” ในทัศนะของเจ้าคุณและคุณหญิง บิดามารดาของรัชนี เมื่อกล่าวถึงสาย สีมา ว่า “ไอ้ปีศาจตัวนี้มันทำให้ฉันนอนไม่หลับ” และสาย สีมาก็ได้กล่าวสุนทรพจน์ในงานเลี้ยงว่า เขาคือปีศาจที่กาลเวลาได้สร้างขึ้นมาเพื่อหลอกหลอนคนที่อยู่ในโลกเก่าความคิดเก่าทำให้เกิดความหวาดกลัว
“ท่านคิดจะทำลายปีศาจตัวนี้ในคืนวันนี้ต่อหน้าสมาคมชั้นสูงเช่นนี้ แต่ไม่มีทางจะเป็นไปได้ เพราะเขาอยู่ยงคงกระพันยิ่งกว่าอาคิลลิสหรือซิกฟริด เพราะเขาอยู่ในเกราะกำบังแห่งกาลเวลา ท่านจะเหนี่ยวรั้งอะไรไว้บางสิ่งชั่วครั้งชั่วคราว แต่ท่านไม่สามารถจะรักษาทุกสิ่งทุกอย่างไว้ได้ตลอดไป โลกของเราเป็นคนละโลก…โลกของผมเป็นโลกของธรรมดาสามัญชน” (หน้า284-285)
ด้วยอำนาจวรรณกรรมอมตะอายุกว่าครึ่งศตวรรษเรื่องนี้ ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะมองหา ‘ปีศาจ’ ในยุคสมัยปัจจุบัน แน่ละ ความเปลี่ยนแปลงก็ยังคงเป็นปีศาจ ‘ตัวแม่’ ที่สร้างความหวาดระแวงให้คนบางกลุ่ม ในขณะที่คนอีกกลุ่มที่สร้างความเดือดร้อนรำคาญให้คนอีกกลุ่มก็คือปีศาจที่ทำให้คนอีกกลุ่มต้องถืออาวุธมายิงทิ้งให้สิ้นเรื่องสิ้นราว
‘ปีศาจ’ ในยุคปัจจุบันอาจจะยังมีปรากฎให้เห็นในรูปอื่นอีก และมีทีท่าว่าจะลึกลับซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ คำถามที่ผมถามตัวเองก็คือ เราจะทำอย่างไรกับปีศาจทั้งหลายทั้งที่เพ่นพ่านอยู่ภายนอกและที่สิงอยู่ในใจเรา
ผมถามตัวเอง ไม่ได้ถามใคร…
…………………………
|
ใส่ความเห็น