ก้าวรอก้าว ฉบับที่ 55

KRK September 2010 No.55

 
 

Cover by : ยางมะตอยสีชมพู

ก้าวรอก้าว (ปีสาม)

‘บ้านหนอน’ออนไลน์แมกกาซีน

https://kaawrowkaw3.wordpress.com

kaawrowkaw@hotmail.com

Editer by :สิญจน์ สวรรค์เสก / นรินทร์ทองดี / ยางมะตอยสีชมพู

/ ไอซ์ / saranya_nok /จัสมิน / ท่านเจ้าคุณ

 
สารบัญก้าว

—–มาจะกล่าวบทไป :สิญจน์ สวรรค์เสก ‘ สัญญาตราบสายัณห์ ’
—————-กวีก้าว : กวิสรา ‘ ดวงใจอันเปลือยเปล่า ’
—-ข้างหลังโปสการ์ด :  saranya_nok ‘ A walk to remember ’
——–โลกนี้มีไว้แบ๊ว : UgLy PriNceSS ‘ เรื่องที่สมควร “จำ” ’
—–ขณะหนึ่งเดินทาง : ส้มลิ้ม ‘ Beauty of Change:ความงามที่ผันแปร ’
คิดเรื่อยๆเขียนเปื่อยๆ : popo ‘ The depaeture ’
———–อิโหน่อิเหน่ : พีพี ‘ การ์ตูน by pp.saifon ’

 

โดย สิญจน์ สวรรค์เสก

 สัญญาตราบสายัณห์

ผมเป็นคนโรแมนติก

ไม่เชื่อ?

ก็ช่างหัวพวกคุณดิ

หยั่งอีวันก่อนนั่นปะไร ผมเปิดมติชนสุดสัปดาห์ไปปะเรื่องราวของเฒ่าหลิวกับยายซู ที่คุณลุงวีรกร ตรีเศศ นำมาฝากในคอลัมน์อาหารสมองของแก ทำให้เลือดลมโรแมนติกวิ่งเวียนทั่วสรรพางค์กายจนขนลุกซู่ซ่า น้ำหูน้ำตาพาลจะเล็ดไหล มือไม้สั่นเทา จิตใจเต้นเร่าๆ จนอยากจะนั่งลงเขียน “เรื่องรัก” ของผู้เฒ่าทั้งสองเป็นคอลัมน์มาจะกล่าวบทไปนี้เสียให้ได้ในตอนนั้นเลยเทียว

ยังจำเรื่องรักของผู้เฒ่าทั้งสองนี้ได้ไหมครับ ก็เมื่อปีที่แล้วนั่นยังไง ที่สังคมชาวเน็ตพากันเวียนฟอร์เวิร์ดเมล์เรื่องราวของทั้งสองให้กันอ่าน กระผมขอท้าวความให้ฟังอีกสักนิดก็แล้วกันนะครับ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว คะเนว่าคงจะหลายชั่วอายุยุงอยู่หรอก ก็แลครั้งนั้น หนุ่มน้อยวัย 19 ปี ผู้มีนามว่า หลิว โกวเจียง ดุ่มเดินไปตกหลุมรักม้ายสาวพราวเสน่ห์นามว่า ซู เฉากวิน เข้าแบบเต็มตีน

ทว่า…

หล่อนมีลูกแล้วนะ!”

หญิงมีราคีคาว!”

หลิว จะโดนประโยคคำพูดเหล่านี้ซัดใส่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ด้วยสังคมจีนแต่หนนั้น ไม่ยอมรับเรื่องรักต่างวัยที่ฝ่ายหญิงอายุมากกว่าฝ่ายชาย ยิ่งเป็นหญิงที่ผ่านการมีครอบครัว มีลูกติดตัวมาด้วยเหมือนซูแล้วล่ะก็ นั่นถือว่าเป็นความผิดระดับเดียวกันกับการก่อกบฏต่อระบบศีลธรรมเลยทีเดียว

หลิว เธอเสียใจมั้ย?” สาวซูซักถามคำนี้อยู่บ่อยหน หลังจากชายคนรักพาเธอลี้สังคมขึ้นมาอยู่บนภูสูงที่ร้างไร้ผู้คน ชั้นแต่ถนนหนทางก็ยังมิกล้าแยงขึ้นไปถึง

ไม่เลยซู ตราบเท่าที่เราขยัน ชีวิตเราจะดีขึ้น” หนุ่มน้อยตอบสาวคนรัก

ว่ากันว่าพลังแห่งความรักนั้น แม้จะใช้ถมทะเล ย้ายภูเขา เขย่าสวรรค์ ก็ยังได้สบายบรื๋อเบบี้ดอล กะอีแค่บันไดหิน 6,000 กว่าขั้น ไยหนุ่มหลิวจะใช้พลังรักมาตอกแกะเป็นขั้นบันไดให้เท้าน้อยๆ ของสาวซู เหยียบย่างลงมาจากรังรักบนเขาไม่ได้เล่า

50 ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก

ชายชราวัย 72 ปี ที่บรรลุภารกิจแกะบันไดให้สาวคนรักเดินลงมายังหมู่บ้านได้สำเร็จ และเพิ่งจะกลับจากกรำงานไร่ ได้จากไปอย่างสงบในอ้อมกอดของภรรยาที่กำลังสวดมนต์ให้เขาในเย็นวันหนึ่ง

หลิว คุณสัญญาว่าจะดูแลฉัน คุณจะอยู่กับฉันถึงวันที่ฉันตาย แต่ตอนนี้คุณจากฉันไปแล้ว ฉันจะอยู่อย่างไรเมื่อไม่มีคุณ” หญิงหม้ายคำรบสองคราญแผ่วเบาอยู่ข้างโลงศพของสามีหลายวัน

โอ้ว ยายซูเอ๋ย กระผมในฐานะหลานผู้ริรักตามชั้นเชิงของตาหลิว อยากจะกระซิบฝากสายลมไปบอกคุณยายว่า ถึงแม้ตาหลิวจะตายไปแล้ว ทว่าความรักที่ตามีต่อยายนั้นจะมั่นคงมิเสื่อมคลาย กระผมเชื่อเหลือเกินว่า กาลเวลากว่า 50 ปีที่ตาหลิวเฝ้าแกะสลักหินเป็นขั้นบันไดให้ยายซูเดินลงมาจากเขาได้นั้น ทุกริ้วรอยลิ่มเหล็กที่สลักลงไป จะคือรอยรักร่องอาทรที่ห้อมล้อมยายซูอยู่มิเสื่อมคลาย

(เอเข้ากับคอนเซ็ป “จำ” ของก้าวฯ ฉบับนี้ตรงไหนหว่าเนี่ย เดี๋ยวต้องโน้มให้เข้าประเด็นหน่อยแล้ว)

เห็นอานุภาพของความจำกันหรือยังล่ะครับ?

(อาเอาล่ะ เริ่มจะสวยแล้ว)

มิใช่เพราะตาหลิวจำคำมั่นสัญญาที่ว่าจะคอยดูแลยายซูได้ตลอดเวลานี่ดอกหรือ แกถึงได้ทำงาน “หิน” แบบนั้นได้สำเร็จ

คนที่จำไม่ลืมซ้ำซื่อสัตย์ต่อคำสัญญาของตนแบบนี้น่ายกย่องสรรเสริญ

คำสัญญา – ครับใช่ ที่เขียนโม้มาตั้งนานนั้น ผมรอคำนี้แหละ

สัญญา” เป็นคำบาลี แปลว่า “จำได้, หมายรู้” ซึ่งอาจจะจำได้หรือหมายรู้ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ได้ที่ไม่เกี่ยวกับคำพูดเลย ทว่าดูเหมือนคนรุ่นใหม่ทุกวันนี้ มักจะเข้าใจว่ามันหมายถึง “คำมั่นสัญญา” เพียงอย่างเดียว

สัญญา ในพระพุทธศาสนาท่านจัดว่าเป็นขันธ์หนึ่งในขันธ์ห้าที่ประกอบขึ้นมาเป็นคน

มาคุยกันเรื่องขันธ์ห้าก่อนสักนิดเนาะครับ

รูป แท่งแข็งๆ ที่เห็นเป็นคน (ร่างกาย)

เวทนาความรู้สึกทั้งมวล

สัญญา จำได้, หมายรู้ว่านั่นเป็นนั่น นี่เป็นนี่

สังขารการปรุงแต่งของจิต (ความคิดที่เคลื่อนไป)

วิญญาณจิต, ตัวรู้

เคยได้ยินคำพูดนี้ไหมครับว่า “เรียนเก่งจัง ความจำดีเนาะ”

คนจะเรียนเก่ง หรือทำอะไรได้ดีมักจะเป็นคนที่มีสัญญาหรือว่ามีความจำดี พอจำหลักหรือจำหมุดต่างๆ ได้ดี สังขารคือความคิดก็จะทำงานได้คล่อง คือสามารถหยิบฉวยเอาความจำมาใช้ในการเรียนรู้ กระทั่งรู้จักเชื่อมโยงสอดประสานประเด็นนี้ไปหาประเด็นโน้น ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเป็นองค์ความรู้หรือเป็นทฤษฎีใหม่ขึ้นมาได้

หรือหากจะเปรียบกับคำพูดยอดฮิตของไอน์สไตน์ที่ว่า “จินตนาการสำคัญกว่าความรู้” แล้วล่ะก้อ สัญญาหรือว่าความจำได้นี้จะเหมือนความรู้ที่เคยเรียนมา (ฟังมา, เห็นมา, ดมมา, สัมผัสมา) แล้วจำเอาไว้ได้ ส่วนจินตนาการจะคือสังขารที่ปรุงแต่งต่อเติมออกไปอีก

สัญญา หรือว่าความจำได้หมายรู้นี้ จึงเป็นขันธ์หนึ่งที่มีความสำคัญมาก (มากๆ)

ลองนึกดูเล่นๆ สิครับว่า ความเป็นสีนั่นสีนี่ หรือความเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ก็ล้วนเกิดขึ้นมาจากสัญญาของคนเราทั้งสิ้น

หากคนเราจะยินยอมพร้อมใจกันตั้งสัญญาใหม่ คือ ไม่เรียกไก่ว่าเป็นไก่ แต่เรียกว่ามันเป็นเป็ดแทนจะได้ไหม? ก็ย่อมได้

หากคนเราจะสัญญากันว่าเอาขี้ไก่มาเป็นเงินแลกเปลี่ยนแทนกระดาษธนบัตรแบบทุกวันนี้ได้ไหม? แน่นอน ได้อยู่แล้ว เพราะเราเคยใช้กระทั่งเปลือกหอยแทนเงินกันมาแล้วนี่นา

ความเป็นสีนั้นสีนี้ก็เหมือนกัน หากเราจะตั้งชื่อให้มันใหม่ทั้งหมดเลยได้ไหม? ก็ได้อีกนั่นแหละ

สรุปว่าใดๆ ในโลก ของต่างๆ ธาตุต่างๆ มันก็อยู่ของมันอยู่อย่างนั้น แต่มนุษย์เอา “สัญญาไปป้ายมัน” หรือว่า “ไปตั้งชื่อให้มัน” เพื่อจะได้เรียกมันถูก ใช้งานมันได้ถูก ซ้ำในของสิ่งเดียวกัน คนเรายัง “สร้างสัญญา” ให้มันได้ตั้งหลายสิบหลายร้อยชื่อ

ก็ภาษาของคนนี่แหละครับคือการทำงานของสัญญา แม้จะพูดถึงสิ่งเดียวกัน หรือเรื่องเดียวกัน แต่หากเป็นคนละชาติคนละภาษา และเราไม่มีสัญญาในภาษานั้นๆ ก็ใบ้กินเหมือนกันแหละครับ

การตั้งสัญญาหรือว่าตั้งชื่อให้สิ่งนั้นสิ่งนี้ดีไหม?

ดีสิเนาะครับ เพราะจะได้ใช้งานมันได้ถูกได้ตรง

แต่จะไม่ดีก็ต่อเมื่อคนเรามาหลงสัญญา คือติดอยู่ที่คุณค่าเทียมหรือว่าสมมุติมากไป กระทั่งเข้าไม่ถึงคุณค่าแท้ของสิ่งต่างๆ ทั้งหลายทั้งปวง

สัญญา หรือว่า ความจำได้, หมายรู้ถูก จึงสำคัญดังนี้ล่ะขะรับ

วุ้ย ขึ้นต้นมาด้วยเรื่องรัก ไหงตอนจบทำท่าจะพากันบรรลุธรรมแบบนี้ล่ะเนี่ยหือ

คนเขียนเซ็งเลยนะเนี่ย

ไปดีกว่า

จบล่ะ

 

ก้าวอื่นๆ

 

กวีก้าว

โดย กวิสรา

ดวงใจอันเปลือยเปล่า
 

 

เปลื้องลงทีละกลีบ กลีบกุหลาบ

ซอกซอนจินตภาพอันวาบไหว

กลางม่านกลีบหอมกรุ่นละมุนละไม

อาจใจเปลือยเปล่ารอความรัก

มาสิ เปิดเผยในทั้งหมด

ให้ความชื่นสดไร้น้ำหนัก

กำซาบดอกไม้อันหอมนัก

กำซาบความรักอันหวานล้น

ให้บางอารมณ์ได้แจ่มชัด

อย่างการรึงรัดเส้นสายฝน

ฉ่ำน้ำจากดินถึงเบื้องบน

เอ่อท้นแม้นในกลีบผกา

มาสิ ลมหายใจอันอุ่นอ่อน

ซอกซอนสู่รักอันโหยหา

ละเลียดอารมณ์บ่มร่ำมา

ลิ้มปรารถนาที่ได้ลอง

มาสิ เปลื้องลงทุกกลีบกรุ่น

ถ่ายเทละมุนสู่ส่วนพร่อง

ดวงใจเปลือยเปล่านั้นร่ำร้อง

“ครอบครองเราเถิดด้วยความรัก”

 

กวิสรา 19 สิงหาคม 2553

 

 

อย่างลมกระหวัดเส้นสายฝน

โปรยฉ่ำจรดพื้นจากเบื้องบน

 

ก้าวอื่นๆ

 

ข้างหลังโปสการ์ด โดย saranya_nok

: A walk to remember…

เมธีคะ…

   เมื่อครั้งที่คุณมีชีวิตช่วงหนึ่งในจีนแผ่นดินใหญ่ คุณเคยมีโอกาสข้ามไปยังเกาะแห่งหนึ่งซึ่งไม่เงียบสงบและวัฒนธรรมต่าง ๆ นั้นแตกต่างจากแผ่นดินใหญ่ ณ เวลาเดียวกันนั้นไหมคะ…

   ฉันกำลังหมายถึงเกาะที่คุณก็น่าจะคาดเดาได้ เกาะฮ่องกงนั่นเองค่ะ

   โปสการ์ดใบนี้ฉันได้มาจากเกาะฮ่องกงค่ะ ที่นั่นมีสวนสนุกระดับโลกที่เรียกว่า “ ดิสนีย์แลนด์ ” อยู่ด้วย…

   ผู้คนมากมายใฝ่ฝันว่าอยากจะไปที่ดิสนีย์แลนด์สักครั้งหนึ่งในชีวิต คุณล่ะเคยคิดอยากไปบ้างไหมคะ?

   ฉันไม่เคยคิดฝันอยากไปดิสนีย์แลนด์มาก่อนไม่ว่าในยามที่ฉันเป็นเด็กหรือเติบโตขึ้นมาแล้วก็ตาม แต่แล้ววันหนึ่งเหมือนเป็นฝันกลางวันจริง ๆ ฉันได้ยืนอยู่ท่ามกลางตัวการ์ตูนในหนังสือการ์ตูนที่ได้รู้จักตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะเป็น สโนไวท์ อลิซในแดนมหัศจรรย์ ดัมโบ้เจ้าช้างน้อย มิกกี้ มินนี่ โดนัลดั๊ก กูฟฟี่ ฯลฯ โดยที่ฉันเองไม่ได้คาดหวังใด ๆ มาก่อน ความรู้สึกมันเหมือนกับความฝันที่เรากำหนดอารมณ์ความรู้สึกล่วงหน้าไม่ได้

   จวบจนวันนี้เป็นเวลาสามปีกว่ามาแล้ว แต่ฉันยังจดจำความสนุกที่ดูเหมือนเราคืนหวนสู่วัยเด็กอีกครั้งที่ดินแดนของวอล์ท ดิสนีย์ได้ค่ะ ฉันจำได้แม่นยำว่า… ทันทีที่ก้าวเข้าไปภายในอาณาจักรการ์ตูนแห่งนั้น ผู้คนไม่ว่าจะวัยใด เด็กตัวเล็ก ๆ วัยรุ่นคนหนุ่มสาว ผู้ใหญ่ ไปจนถึงคนแก่ชรา ต่างดูหน้าตาอ่อนเยาว์ไปด้วยรอยยิ้ม และคุณรู้ไหมว่า ไม่มีใครแก่เกินไปสำหรับเครื่องเล่นที่นั่นเลย เครื่องเล่นแต่ละอย่างจะมีคนทุกเพศทุกวัยต่อคิวและเข้าเล่น เคยได้ยินไหมว่า เด็กทำอย่างโน้นอย่างนี้แล้วน่ารัก แต่ผู้ใหญ่ทำแล้วไม่น่าดู มายังดินแดนของดิสนีย์คุณจะต้องลืมคำพูดนี้ไปจากใจได้เลย เพราะโลกของดิสนีย์เป็นโลกไร้วัย ฉันว่า… ประตูที่ผ่านเข้าไปในดิสนีย์แลนด์อาจเป็นหนทางแห่งมิติที่ไร้กาลเวลาก็เป็นได้

   เครื่องเล่นที่ฉันจดจำได้แม่นยำก็คือ “ โรงฉายภาพยนตร์การ์ตูน 4 มิติ ” ก่อนเข้าไปเราได้รับแจกแว่นตาสำหรับชมภาพ 4 มิติ แว่นตานั้นคล้าย ๆ แว่นกันแดดนั่นเอง แต่มีกรอบสีเหลืองสดใส เมื่อนั่งลงที่เบาะซึ่งเหมือนกับในโรงภาพยนตร์ทั่วไปแล้ว ตัวการ์ตูนของวอล์ท ดิสนีย์ก็เริ่มถูกฉายขึ้นที่จอ เป็นเรื่องของมิกกี้เมาท์และผองเพื่อน และขณะที่เรานั่งชมอยู่ ทันใดนั้น… ตัวการ์ตูนบางตัว เช่น โดนัลดั๊กก็ลอยออกมาจากจอ แล้วเต้นระบำวนเวียนอยู่เหนือศรีษะของเรา ส่วนตัวการ์ตูนอื่น ๆ ก็ทยอยกันออกมาล่องลอยอยู่ทั่วทั้งโรงภาพยนตร์ เป็นช่วงเวลาการชมการ์ตูนที่มีความสุขมากของฉัน แม้ว่าฉันจะอายุ 29 แล้วในตอนนั้น แต่นาทีเหล่านั้นทำให้ฉันสัมผัสถึงเนื้อแท้แห่งความเป็นเด็กซึ่งนอนนิ่งซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ไม่ใช่แค่ฉันหรอกนะคะ แต่เราทุกคนในที่นั้นล้วนแต่ไม่เคยลืมความเป็นเด็ก ที่คล้าย ๆ กับว่าเคยทิ้งไว้ในวันเวลาที่ก้าวผ่านมาแล้ว มือของผู้ชมมากมายไขว่คว้าขึ้นในอากาศ… ร่วมเล่นสนุกไปกับตัวการ์ตูนเสมือนมีชีวิตเหล่านั้น…

   ทว่า… น่าเสียดายตรงที่ การจะจดจำรายละเอียดแห่งความรู้สึกทั้งหมด ณ ช่วงเสมือนหยุดกาลเวลาไว้ที่เครื่องเล่นแต่ละชิ้นนั้นเป็นไปมิได้…

   หากฉันจะจดจำทุกเรื่องราว อารมณ์และความรู้สึกในวันนั้นได้ก็คงดีกว่านี้มากค่ะ แต่สมองของคนเราคงมีคุณสมบัติที่จำกัด และมันก็เลือกที่จะจำบางสิ่ง และเลือกที่จะลืมบางอย่าง…

   ตอนนี้สมองของฉันดูเหมือนว่ามันกำลังเลือกที่จะจดจำแต่สิ่งที่ตั้งใจมุ่งหวังในแทบทุกขณะจิต เพื่อก่อร่างภาพจำให้ปรากฏเป็นภาพของความเป็นจริงที่จับต้องได้ในอนาคต ไม่ใช่แค่เพียงภาพจำที่สร้างขึ้นโดยสมองในปัจจุบันเพียงเท่านั้น ภาพความทรงจำในอดีตอาจถูกลบเลือนและแทนที่ แต่ก็มีเครื่องมือมากมายที่สามารถจับภาพความทรงจำในอดีตไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็น บันทึกหรือภาพถ่าย อย่างไรก็ตาม… ฉันเชื่อว่า… สิ่งที่ประทับใจนั้นยากที่จะลบเลือนไปจากสมองหรือหัวใจของเราได้ ไม่ว่ากระแสแห่งกาลเวลาจะพัดพาไปไกลแสนไกลแม้สักเท่าใดก็ตาม…

แด่… เมธี วอล์ท ดิสนีย์ และเหล่าตัวการ์ตูน

เบื้องหลังของด้านหลัง

   19.15 น. เวลาท้องถิ่น ของวันที่ 30 ธ.ค. 49 ฉันรู้สึกตัวเองว่ากำลังย่างเท้าก้าวเดินลงจากสายการบิน Finair สู่ดินแดนที่เป็นเกาะใหญ่แห่งหนึ่ง ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย อากาศบนเกาะขณะนั้นหนาวเย็นด้วยลมที่พัดโบกสะบัดแทบตลอดเวลา ฉันไม่ทันได้หยิบเสื้อหนาวขึ้นมาสวมทับแจ็คเก็ตที่สวมอยู่ เพราะกระบวนการของสนามบินต่อจากนั้นเป็นไปอย่างเร่งรีบ…

   ออกมาจากท่าอากาศยานได้แล้ว ก็พาตัวเองขึ้นสู่รถบัส ไปยังร้านอาหารแห่งหนึ่งที่แทรกตัวอยู่ในตึกห้างสรรพสินค้า ที่เกาะแห่งนี้มีชื่อด้านอาหารการกิน และครอบครัวของฉันก็ไม่ผิดหวัง ทุกคนออกปากชม ยกเว้นฉันที่ไม่ค่อยถูกปากกับความมันย่องของอาหารแต่ละอย่าง และออกจะถูกกับอาหารไทยเป็นทุนเดิมอยู่มากทีเดียว

   อิ่มกันแล้วเราก็เข้าที่พักซึ่งเป็นโรงแรม 5 ดาว แต่ 5 ดาวที่นี่นั้นดูคับแคบกว่าที่เมืองไทย เพราะพื้นที่นั้นมีราคาแพงเหลือเกิน แต่ปัญหานี้ก็ไม่เกินกว่าความสามารถของคนเราไปได้ พื้นที่พื้นดินถูกเพิ่มขึ้นไปเสียดฟ้า เป็นอาคารสูงที่ปลูกติดเสียดกัน

   วันสุดท้ายของปี 49 สวนสนุกชื่อก้องโลกที่รู้จักกันตั้งแต่เด็กตัวเล็ก ๆ ไปจนถึงผู้เฒ่าผู้แก่ Disneyland เข้ามาเติมเวลาแต่ละวินาทีของเราให้เต็มไปด้วยความสนุกสนานและรอยยิ้ม การล่องเรือผจญภัยในแม่น้ำสารพันจำลอง สัตว์ป่าอเมซอน มนุษย์กินคน แต่ที่ไม่จำลองก็คือ เสียงหัวเราะจากเด็ก ๆ , โรงหนัง 4 มิติ กับโดนัลดั๊กที่ผจญไปในการ์ตูนเรื่องต่าง ๆ สิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจก็คือ ภาพเหล่านั้นมาอยู่ตรงหน้าจนเราพยายามเอื้อมมือคว้า , ขบวนพาเหรดที่ทุกคนต้องมารวมกันเพื่อชื่นชมและต้อนรับตัวการ์ตูนอันเป็นที่รัก อีกทั้งเครื่องเล่นอีกหลายชนิดที่เต็มไปด้วยผู้คนต่อแถวยาวรอสนุกสนานไปกับมัน

   เราออกมาจากดิสนีแลนด์ดินแดนที่ฉันรู้สึกว่า ไร้ซึ่งขอบเขตแห่งอายุ เมื่อเวลา 18.30 น. ไปทานข้าวแล้วคิดว่าจะไปเคาท์ดาวน์กันที่ถนนที่มีชื่อเสียงของที่นั่น ถนนแห่งนี้เต็มไปด้วยร้านค้าแบรนด์เนม พวกเราได้แต่เดิน เดิน เดิน และเดิน แทบไม่ได้แวะร้านใด ๆ ตอนที่ไปนั้นผู้คนยังน้อยอยู่ เพราะไปกันตั้งแต่หัวค่ำ เราเดินกันจนเมื่อย ทุกคนในครอบครัวของฉันตกลงกันว่าจะกลับที่พัก เพราะเดินกันมาทั้งวันจนถึงตอนนั้นก็เดินไม่ไหวอีกแล้ว ตรงที่เราหยุดคุยกันนั้นมีจอมอนิเตอร์จอยักษ์อยู่ ขณะนั้นเองที่ฉันได้เห็นข่าวการระเบิดที่ประเทศของเรา ฉันรู้สึกตกใจและเป็นห่วง “บ้านของเรา” มาก ๆ

   กลับถึงที่พักฉันรอเคาท์ดาวน์อยู่ในห้อง ทั้ง ๆ ที่ด้านล่างของโรงแรมมีการเฉลิมฉลองกันอย่างสนุกสนาน แต่ด้วยความรู้สึกไม่ดีเมื่อกี้ทำให้ฉันหมดสนุกลงไปมาก

   วินาทีนับถอยหลังสู่ปีใหม่มาถึง กับสายตาและหูที่จดจ่อกับจอโทรทัศน์ 5…4…3…2…1… คำสวัสดีปีใหม่ค่ะ ถูกเอ่ยออกมาจากปากของฉันทันที พร้อมอ้อมแขนที่โอบคุณพ่อที คุณแม่ที อวยพรให้ท่านมีความสุข สุขภาพแข็งแรง เป็นวันใหม่ของอีกปีที่รักของเราจะดำเนินไป…

   หลังจากเคาท์ดาวน์แล้ว คืนนั้นฉันได้ชมสารคดีเรื่อง Giant Panda ได้เห็นการออกลูกของแพนด้า การเลี้ยงลูกของมัน แพนด้ายักษ์อุ้มลูกน้อยมากินนมและก้มลงจูบลูกของมัน วูบหนึ่งนั้นฉันรู้สึกเหมือนได้รับการจุดประกายความฝัน ความฝันของฉันมันเคยเป็นจริง และมันก็ดำเนินไปอย่างดีจนหมดเวลาของมันไปในวันหนึ่ง เนิ่นนานมาแล้วหลังจากนั้นที่ฉันไม่มีความฝัน แพนด้าแม่ลูกจุดประกายความฝันในวันปีใหม่ให้กับฉัน วูบนั้นฉันฝันอยากเป็น…นักทำสารคดี… ฉันยังไม่รู้ว่าฉันจะทำมันให้เป็นจริงได้อย่างไร และเมื่อไหร่ แล้วคืนนั้นฉันก็หลับลงอย่างมีฝัน…

   เช้าวันใหม่ของปีใหม่เราไปเที่ยวกันหลายที่ เช่น จุดชมวิวของเกาะแห่งนั้น ไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และก็ได้เวลาที่เราจะเดินทางสู่แผ่นดินใหญ่ เกาะแห่งนั้นมีส่วนที่เชื่อมต่อกับแผ่นดินใหญ่ มันเชื่อมต่อกันด้วยรางรถไฟฟ้า เมื่อรถไฟฟ้าจอดลง เราต้องเตรียมพาสปอร์ตเพื่อผ่านด่าน
ที่มณฑลหนึ่งของแผ่นดินใหญ่ที่เรามาเยือนนี้ เราแวะไปชมพิพิธภัณฑ์หยก ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้แสดงให้เราดูว่า หยกแท้นั้นมีลักษณะเช่นไร ก่อนเข้าที่พักเราแวะชมการแสดงวัฒนธรรมสุดตระการตา เป็นการแสดงที่ยิ่งใหญ่และมีความพร้อมสูง

   เช้าวันรุ่งขึ้น เราไปเที่ยวห้างสรรพสินค้าของที่นั่น ซึ่งห้างนี้เป็นห้างของเลียนแบบ การพูดคุยต่อรองราคานั้นก็สนุกดี ที่นี่ฉันได้ของใช้จำเป็นซึ่งของปัจจุบันนั้นหมดอายุแล้วมาหลายอย่าง ของที่นี่ถูกกว่าบ้านเรามาก แต่ก็ต้องทำใจเรื่องคุณภาพไว้ด้วยเช่นกัน

   เรากลับมายังดินแดนที่เป็นเกาะอีกครั้ง มีเวลาประมาณ 4 ชั่วโมงก่อนจะขึ้นเครื่องบินกลับ ฉันพาคุณพ่อ คุณแม่ ไปเดินเที่ยวถนนใกล้ ๆ ที่พัก ถนนแถวนั้นคล้ายสำเพ็งและเยาราช รวมไปถึงจตุจักรหรือสนามหลวง 2 ที่มีการขายสัตว์เลี้ยงด้วย เดินดูก็รู้สึกเพลินตา เพลินใจ แล้วก็อิ่มอร่อยอีกด้วย เนื่องจากมีของกินขายตลอดทาง

   ได้เวลาที่จะต้องโบกมือลา ดินแดนที่ฉันอุตส่าห์ติดปีกเหล็กบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาเสียที ถ้ามองกลับไปข้างหลังฉันก็จะพบตัวเองอยู่กับวันหยุดในดินแดนแปลกใหม่ ที่แห่งหนึ่งรับวัฒนธรรมตะวันตกมาจนมองไม่เห็นวัฒนธรรมของตัวเอง กับอีกแห่งหนึ่งซึ่งกว้างใหญ่ไพศาลและเต็มไปด้วยวัฒนธรรมที่เป็นตัวของตัวเอง เมื่อมองไปข้างหน้า แผ่นดินที่ฉันกำลังมุงตรงไปนั้นขึ้นชื่อเรื่องรอยยิ้ม ความมีน้ำใจ กับวัฒนธรรมหลากหลายที่สืบทอดมายาวนาน…
   แต่ขณะนี้นั้น ฉันกำลังกลัว… ประเทศของฉันเปลี่ยนไป จิตใจคนร้ายยิ่งกว่าเสือ ลึกลับและน่ากลัวยิ่งกว่าผี แต่จิตใจของเราต้องไม่ยอมแพ้ความชั่วร้ายเหล่านั้น ถึงแม้คราวนี้ฉันจะไม่ได้เคาท์ดาวน์ในประเทศของเรา และได้ทราบว่าที่ประเทศไทยนั้นงดการเคาท์ดาวน์ แต่เมื่อวันขึ้นปีใหม่ที่ผ่านมาฉันก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นวันที่ดี เพราะฉันคิดว่าการเคาท์ดาวน์เล็ก ๆ ภายในครอบครัวนั้น ก็ให้ความอุ่นใจเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่…
ฉันก้าวเท้าลงมาบนสนามบินของ “ บ้าน” ของฉันอีกครั้ง…ด้วยความรู้สึกว่าพื้นแผ่นดินและบรรยากาศเดิม ๆ นั้นได้เปลี่ยนแปลงไปจากตอนที่ฉันย่างก้าวจากที่นี่ออกไป ดวงตาของผู้คนที่เดินไปมาขณะนั้น ล้วนมีแววแห่งความ…หวาดกลัว

   และนั่นคือความจำผ่านตัวอักษรที่ฉันได้บันทึกไว้เมื่อสามปีที่ผ่านมา แม้วันนี้ความจำบางอย่างจะลบเลือนไปบ้างแล้ว แต่บันทึกกลับทำหน้าที่จดจำแทนเราได้ดียิ่ง อาจเพราะตัวอักษรนั้นไม่มีสมองหรือหัวใจ จึงไม่มีการเลือกที่จะจำหรือลืมในสิ่งใด ๆ และบันทึกก็เป็นเครื่องมืออันดี ในการ “ เตือนใจ ” สำหรับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน…

     

ขอขอบคุณเกาะฮ่องกง
ขอขอบคุณสาธารณรัฐประชาชนจีน
บันทึกเรื่อง : จากเกาะ…สู่แผ่นดินใหญ่…และวันขึ้นปีใหม่ของฉัน โดย… saranya_nok.worm

ก้าวอื่นๆ

 

โลกนี้มีไว้แบ๊ว โดย UgLy Princess

: เรื่องที่สมควร “จำ” 

 

“เป็นอย่างไรกันบ้างคะ วันนี้มาเองหรือคุณแม่มาส่ง…”

.

.

.

.

“เอาล่ะ ครูบ่น…เอ๊ย…อธิบายจบแล้ว…คราวนี้เปิดหน้าแรกได้…”

.

.

.

.

“…ทำแบบฝึกหัดที่สองต่อได้เลยค่ะ ยากกว่าอันแรกนะ ผิดบ้างไม่เป็นไร…แต่ขอให้ทำเอง”

.

.

.

.

“…ไปได้แล้ว…เบรกสิบนาทีพอนะคะ อย่าเข้าห้องช้า…

พลีส…สสสส….”

.

.

.

.

เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า กับเหตุการณ์เดิมๆ …อาการสัปหงกแอบหลับของใครบางคนในห้อง…เสียงกระซิบกระซาบคุยถึงเพื่อนที่โรงเรียนตัวเอง…การหยอกเอินเรื่องน้ำหนักของติวเตอร์ผู้สอน…แต่สุดท้ายพวกเขาก็ตั้งใจฟัง กับสิ่งที่ฉันพยายามสื่อสารด้วย

.

.

.

.

“…ครูไปห้องน้ำตั้งนาน กลับมายังอยู่ครบแฮะ…

ไม่ไปพักเหรอคะวันนี้…อุ๊ย…”

.

.

.

.

.

.

ขอบคุณเหล่าปีศาจตัวน้อยที่สอนให้ฉัน…จำ…เสมอว่า…

พวกเราคือทีมเดียวกัน

ก้าวอื่นๆ

 

ขณะหนึ่งเดินทาง

โดย ส้มลิ้ม

 

Beauty of Change: ความงามที่ผันแปร

   สรรพสิ่งในโลกล้วนมีความเปลี่ยนแปลงเป็นพื้นฐาน ไม่ว่าในส่วนเล็กที่สุดของหน่วยสิ่งมีชีวิต หรือดินฟ้าสภาวะแห่งฤดูกาล ตลอดจนอารมณ์ความรู้สึกในเหตุการณ์อันผสมผสานด้วยการกระทำของผู้คน ทุกสิ่งอย่างเหล่านั้นล้วนไม่คงทนในช่วงขณะใดได้ยืนนาน และความผันผวนของการณ์ตามกาล ก็ทำให้คนเราได้พบเห็นสัจธรรมอันเป็นปรัชญาว่าด้วยการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเสมอ

   ในธรรมชาติที่ว่าด้วยป่าเขาท้องทุ่ง สร้างสีสันอันงดงามตามความเป็นไปของอุณหภูมิและการเคลื่อนที่ของดวงดาว สภาพเหล่านี้เป็นแหล่งกำเนิดของการทำงานเลี้ยงชีพในหมู่ชนกสิกรรม เป็นทิศทัศน์ที่งดงามสำหรับนักทัศนาจร เป็นแรงบันดาลใจอันหวานอ่อนต่อศิลปินผู้มีความหวิวไหวในจิตสำนึกแรงกล้า ศิลปินมากมายในอดีตที่ล่วงมาหลงใหลในประกายแดดสาดแสงตกกระทบผิวน้ำ ชื่นชมในจังหวะลู่เอนของกิ่งก้านดอกใบยามต้องลมกรรโชก และบันทึกความงามที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเป็นผลงานศิลปะที่เกิดขึ้นจาก ความประทับใจ

   เอกชัย ลวดสูงเนิน เป็นศิลปินอีกคนหนึ่งที่สร้างสรรค์ผลงานจากแรงบันดาลใจแห่งธรรมชาติ เขาเป็นจิตรกรชื่อก้องผู้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในบรรพพิภพแห่งศิลปะ ผลงานในอดีตมักเป็นภาพจารึกจากความประทับใจในทิวทัศน์ป่าเขา ท้องทะเล เรือกสวนไร่นา รวมไปถึงบ้านเรือนสถานที่อีกมากมายในประเทศไทย ลาว จีน อเมริกา ยุโรป เอกชัยเป็นนักเดินทางที่ก้าวย่างไปสู่หลายมุมของโลกเพื่อแสวงหาแรงบันดาลใจในการเขียนภาพ และจดจารความจริงที่พบพานด้วยนัยน์ตากับความรู้สึกที่ประทับในจิตใจ สร้างสรรค์เป็นผลงานศิลปะอย่างซื่อตรง

     เอกชัยเล่าว่า ศิลปินที่เขาชื่นชมในผลงานและศึกษาแนวทางการสร้างสรรค์อย่างจริงจังมีอยู่หลายคน อาทิ โมเนท์ (Claude Monet)    ซิสลี่ย์ (Alfred Sisley) ปิซาโร่ (Camille Pissarro) เรอนัวร์ (Pierre-Auguste Renoir) และแวนโก๊ะ (Vincent Van Gagh) ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานั้นถือเป็นศิลปินคนสำคัญในลัทธิอิมเพรสชั่นนิสม์ และเราจะสามารถเห็นถึงอิทธิพลจากศิลปินดังกล่าวในงานของเอกชัยได้ชัดเจน 

 

     ภาพดอกซากุระออกดอกสีชมพูพราวเต็มต้น ส่งนัยยะเชิงสัญลักษณ์ของดอกไม้ซึ่งเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ราวกับสาวงามจากซีกโลกตะวันออก ผลงานภาพเขียนทิวทัศน์ต้นซากุระในอิริยาบถและสภาวะแวดล้อมที่แตกต่างกัน เกิดขึ้นจากความงามของธรรมชาติที่ผสมผสานด้วยทักษะฝีมือและอารมณ์ความรู้สึกของศิลปินผู้ยึดถือแนวทางการสร้างสรรค์ผลงานแบบอิมเพรสชั่นนิสม์ (Impressionism) หากแต่เมื่อพิจารณาลงไปในเนื้อสีและเส้นสายที่ปรากฏ งานของเอกชัยก็แสดงตนให้เรามองเห็นได้ว่า ในความเป็นอิมเพรสชั่นนิสม์ของเขาเจือปนด้วยความจริงแบบเรียลลิสม์ (Realism) มีลักษณะของความเป็นธรรมชาตินิยมแบบบาร์บิซง สคูล (Barbizon School) และเต็มไปด้วยการแสดงออกของอารมณ์ความรู้สึกในจิตใจผู้สร้างงานแบบโพสอิมเพรสชั่นนิสม์ (Post-Impressionism) อยู่ด้วย ลักษณะดังกล่าวมาทั้งหมดนี้ เห็นได้จากผลงานจิตรกรรมเกือบทั้งหมดที่เขานำเสนอต่อสายตาผู้ชมงาน

 

   

  ภาพต้นซากุระริมทางเดินที่ทอดยาว บรรจุด้วยสีสันสดใสของแสงแดดท่ามกลางฟากฟ้ากระจ่าง องค์ประกอบในภาพให้ความสำคัญกับท่วงท่าของก้านกิ่งและพวงพุ่มช่อดอก เอกชัยเขียนภาพทิวทัศน์จากสถานที่จริง ในห้วงขณะเวลาที่สัมผัสอยู่จริง และพยายามเก็บเกี่ยวรายละเอียดของแสงสว่าง สีสัน ตลอดจนรูปทรงของวัตถุต่างๆ อย่างที่เป็นจริง ผสานการแสดงออกของอารมณ์ภายในจิตใจด้วยฝีแปรงตวัดปัดป้าย ถ่ายทอดความร้อนหนาวของบรรยากาศรอบกายด้วยริ้วลายขีดขูด เพื่อบันทึกความรู้สึกในชั่วขณะที่สร้างสรรค์ชิ้นงานไว้ในเนื้อสีเหล่านั้น ผลงานของเขาจึงมีกลุ่มก้อนเนื้อสีที่พอกนูนออกมาจากผืนภาพ สร้างมิติให้กับชิ้นงาน และเพิ่มมวลปริมาตรให้รูปทรงต่างๆ ในภาพดูมีชีวิตชีวา

 

   ภาพต้นซากุระของเอกชัย สื่อแสดงถึงความเป็นไปของดินฟ้าอากาศในช่วงยามนั้นชัดเจน ปุยหิมะที่พอกหนาบนก้านกิ่งทอประกายสีชมพูอ่อนบาง รับกับพื้นดินที่ปกคลุมด้วยเกล็ดน้ำแข็งขาวโพลน ริ้วเมฆมัวสลัวทอดยาวสู่ปลายขอบฟ้าประหนึ่งจะบอกเล่าถึงการยืนหยัดอย่างแกล้วกล้าของต้นไม้ที่ยืนกายโดดเดี่ยวริมผืนน้ำ กลับกันในอีกมิติของอากาศ ภาพบางภาพก็ปรากฏแสงสว่างสดใสจากท้องฟ้ายามบ่าย มีพรมหญ้าเขียวสดเคียงข้างทางเดินดินคดเคี้ยว ลำต้นขรุขระของ     ซากุระเรียงราย และทอกลิ่นอายของฤดูกาลที่หมู่ไม้จะผลิดอกออกช่ออย่างเจิดจ้าร่าเริง

 

   ความงามที่ผันแปรไปตามฤดูกาล คือช่วงยามที่เป็นเสมือนข้อต่อของการธรรมชาติ จากความร้อนแล้งเปลี่ยนแปลงเป็นชุ่มฉ่ำ จากความเยือกเย็นเหน็บหนาวก็เคลื่อนคล้อยไปสู่การผลิงอกออกใบของยอดหญ้า จิตรกรรมของเอกชัยจับเอาขณะเวลาที่แผ่นฟ้าและผืนดินพร้อมใจกันกระชากพรมสีที่ปกคลุมโลกให้เกิดสีสันบรรยากาศใหม่ๆ ซึ่งแน่นอนว่า สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอยู่รอบตัวเราตลอดเวลา หากด้วยสายตาและทักษะของผู้มีจิตวิญญาณเป็นศิลปิน จึงสามารถถ่ายทอดความงามที่ต้องตาให้เกิดกลายเป็นงานศิลปะที่ต้องใจแก่ผู้ชมได้

   ความเปลี่ยนแปลงคือความเที่ยงแท้ เช่นเดียวกันกับอากาศที่ผันแปร วัยวันที่ล่วงเลย หรือความรู้สึกในจิตใจของใครสักคนที่ไม่อาจควบคุมให้เป็นตามประสงค์เราได้ชั่วกาล หากไม่ว่าอย่างไร ปรัชญาแห่งการมีชีวิตในวิถีพุทธก็เพียรสอนให้เรามีสติรู้ตัวทันท่วงทีต่อสรรพสิ่งที่ไม่หยุดนิ่งเสมอ เพื่อว่าอย่างน้อยที่สุด เราก็จะได้สัมผัสกับปัจจุบันกาลอย่างบริสุทธิ์ใจ ทั้งในสิ่งที่งดงามและเศร้าหมอง ทั้งในช่วงขณะที่เปี่ยมสุขหรืออาบทุกข์ในลมหายใจ และเราอาจได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในมุมที่ไม่เคยมอง เช่นเดียวกันกับดอกซากุระที่มีเวลาเบ่งบานเพียงไม่กี่วันต่อปีของศิลปินผู้นี้ ที่ได้จารึกตนเองไว้ในความทรงจำของเราอย่างงดงาม

 

 

………………………………………………………………………………

นิทรรศการ “Beauty of Change” โดย เอกชัย ลวดสูงเนิน

ณ ดีโอบี หัวลำโพง แกลเลอรี่

14 ตุลาคม – 14 พฤศจิกายน 2553

 

ส้มลิ้ม

ก้าวอื่นๆ

 

: The depature

by popo

  ขอขอบคุณอาจารย์สายพิณ ศุภุทธมงคล ผู้ที่ให้ความรู้ทั้งมวล จนฉันสามารถก่อกำเนิดบทความชิ้นนี้ได้ อีกทั้งขอบคุณเพื่อนบ้านผู้เป็นตัวละครสำคัญ คอยช่วยเหลือเมื่อครอบครัวประสบภาวะลำบากตั้งแต่วันแรกยันวันสุดท้าย และให้ข้อมูลบางส่วนที่ฉันหลงลืมในตอนนั้นเพื่อมาเขียนบทความชิ้นนี้

   ฉันตอบตกลงเขียนบทความชิ้นนี้เพราะอยากเข้าใจอะไรหลายๆอย่างให้มากขึ้น ถ้าหากงานมีคุณค่าอันใดฉันขอมอบให้แก่ครอบครัวของฉัน และวินทร์ เลียววาริณ ผู้เห็นคุณค่าของฉันในแรกเริ่ม พร้อมกับเปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ โดยช่วยขัดเกลา(เทศนา?)ให้กำลังใจฉันผ่านโลกไซเบอร์ จนเติบโตเป็นผู้ใหญ่และสามารถเดินหน้าชีวิตที่ลุ่มๆดอนๆต่อไปได้อย่างสง่างาม

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น “หนู popo ยังคงรักและระลึกถึงปู่วิลล์เสมอ”

………………………………………………………….

………………………………….

……………….

……

 

 

Departure : อำนาจและความทรงจำภายในศพสมัยใหม่ (บทความยำทฤษฎี)

By popo

อติณัฐ เทวาพิทักษ์

นักศึกษาชั้นปีที่ 2 ภาควิชาประวัติศาสตร์ (โดยพฤตินัย)

คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

เสียงกรีดร้องโหยหวนในคืนวันที่ 23 กรกฎาคม 2545 ปลุกฉันวัย 11 ปีจากห้วงนิทรารมย์ในยามค่ำคืน ภาพแม่ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างคนไร้สติ วิ่งไปวิ่งมาเพื่อหยิบเอกสารบางอย่างภายในห้องนอนและห้องโถงข้างนอก ผ่านเข้ามา ณ วินาทีแรกที่ฉันลืมตาขึ้น เนื่องจากตอนนั้นพ่อกับแม่ทะเลาะกันบ่อยมาก ความคิดในแวบแรกว่าพ่ออาจกลับมาถึงบ้านแล้วทำร้ายร่างกายแม่แบบครั้งก่อนๆแล่นสู่สมองจนฉันรู้สึกกลัวจับใจที่จะต้องตื่นขึ้นมารับรู้ว่าทำไมแม่จึงร้องไห้ แต่กระนั้นนั้นฉันก็ถามแม่ไปอย่างหวั่นๆด้วยอารมณ์คนเพิ่งตื่นว่าเกิดอะไรขึ้น

“ป๊าตายแล้ว… ถูกรถชนตายเมื่อตอนตี 2…” ประโยคสั้นๆที่ขาดเป็นห้วงๆออกมาจากปากแม่ ก่อนจะตามด้วยคำร่ำไห้พร่ำพรรณนาต่างๆอีกมากมาย แต่ก็เกินพอที่จะสะกดให้ฉันนิ่งงัน ด้วยความรู้สึกผิดคาดและงุนงงว่าตัวฉันกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ชีวิตใหม่ที่ไม่มีพ่อแล้วหรือ จากนั้นเมื่อลืมตาตื่นเต็มที่ ภาพทุกคนในบ้านที่กำลังร้องไห้ก็ทำให้ฉันเริ่มคิดถึงเรื่องอดีต พอคิดถึงแล้วฉันก็เศร้า เมื่อฉันเศร้าฉันก็เริ่มร้องไห้ร่วมไปกับทุกคนในบ้าน

หลังจากตื่นขึ้นมาวันนั้นฉันก็ไม่ได้กลับไปนอนต่อ และหยุดเรียนอยู่กับพี่สาวและแม่ที่ร้องไห้จนไม่สามารถลุกขึ้นมาทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้ เพื่อนบ้านผู้เช่าที่ดินและคนงานของทางบ้านที่รับรู้ข่าวสาร ญาติๆที่อยู่ทางฝั่งพ่อและแม่รวมไปถึงคนในแซ่เดียวกันต่างพากันมาหาอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาโดยไม่ได้นัดหมาย บางคนเข้ามากอดแม่ไม่ให้หมดสติไปมากกว่านี้ ส่วนญาติๆที่เหลือก็เข้ามาช่วยจัดการติดต่อไปที่ร้านโลงศพ วัดที่จะจัด รดน้ำศพ รวมไปถึงเรื่องอื่นๆอีกมากมายที่ฉันเองก็จำไม่ได้ เพราะความทรงจำของฉันตัดไปอีกทีก็ตอนที่ฉันรออยู่ในวัด พี่สาวไปจัดการเรื่องนำร่างของพ่อจากโรงพยาบาลและมาที่ศาลาสวดศพแล้ว

เป็นครั้งแรกที่ฉันมีโอกาสเห็นศพนอนแข็งทื่อ เด็กๆฉันเคยถามตัวเองว่ากลัวไหมถ้าหากเจอศพ เมื่อมาถึงวันนั้นฉันก็ได้คำตอบ ที่น่าขำคือผู้ให้คำตอบกลับเป็นศพของพ่อของฉันเอง

ตัวฉันในวัย 19 ณ ตอนนี้ เดินไปดูหนังญี่ปุ่นเรื่อง Departure ที่จัดฉายโดยชุมนุมวรรณศิลป์ หลังจากเลิกเรียนมานุษยวิทยากับความตาย แต่เมื่อฉันไปถึง หนังเริ่มฉายไปประมาณ 20 นาทีแล้ว ภาพผู้ชายคนหนึ่งเดินดูโลงศพพร้อมคำอธิบายถึงราคา และวิธีการทำงานในการจัดศพกำลังแสดงอยู่บนหน้าจอ Theater

ผู้ชายคนนั้นเป็นพระเอกของเรื่อง ผู้มีความหลังกับครอบครัว เนื่องจากพ่อของเขาทิ้งเขาไปในวัยเด็ก จึงจำหน้าพ่อได้เพียงลางเลือน ต้องอยู่กับแม่และเขาเองก็ทิ้งแม่ไปหลังจากนั้นไม่นานนัก โดยเขาประกอบอาชีพเป็นนักดนตรีเพราะแรงบันดาลใจจากพ่อ แล้วเลิกทำอาชีพนี้ไปเพราะวงดนตรีที่ตนเองสังกัดยุบตัวลง เขาจึงกลับมาที่บ้านเกิดพร้อมกับภรรยา แล้วมีโอกาสไป”หลง”รับอาชีพบริการจัดการศพ

งานแรกที่เขาประเดิมคือไปรับศพผู้หญิงที่นอนตายขึ้นอืดในอพาร์ทเม้นท์อยู่คนเดียวมาประมาณ 2 อาทิตย์แล้ว เขาไปช่วยแบกศพกับเจ้านายที่จ้างเขามา เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นศพ แล้วต้องจับศพ เขาจึงทนกับกลิ่นและสภาพศพแทบไม่ได้ เมื่อทำงานเสร็จเขาก็พบว่ากลิ่นของศพติดตัวเขา เขาจึงเข้าไปในโรงอาบน้ำสาธารณะเพื่อจัดการกับกลิ่น แล้วพอกลับถึงบ้านเขาเห็นซากไก่ที่ภรรยาเขาจะนำมาทำเป็นอาหาร เขาก็เกิดอาการอาเจียน กินอะไรไม่ลง

ไม่น่าแปลกที่ผู้เห็นศพครั้งแรกเช่นพระเอกจะเกิดอาการเช่นนี้ เพราะปกติร่างกายของมนุษย์เป็นสิ่งสกปรกโดยธรรมชาติ ยิ่งเมื่อร่างกายไร้ซึ่งการทำงานใดๆก็ไม่ต่างอะไรจากสภาพอาหารที่หมดอายุพร้อมนำไปทิ้ง ซึ่งถ้าเป็นสังคมระดับอยู่รวมกันเป็นหมู่บ้าน มีกำลังการผลิตแบบพอยังชีพและจำนวนประชากรผู้บริโภคต่ำ ยังไม่มีภาครัฐหรือผู้ปกครองที่เข้ามาควบคุมอย่างชัดเจน หรือแม้จะชัดเจนแต่ก็ไม่ก้าวก่ายในการใช้ชีวิต มากไปกว่าการใช้อำนาจในการเอาชีวิตของผู้อยู่ใต้ปกครอง เมื่อใครตายในหมู่บ้าน การจัดการศพย่อมเป็นที่รู้เห็นและเป็นหน้าที่ของคนทั้งหมู่บ้านที่จะช่วยกันจัดการ ก่อนนำสิ่งสกปรกนี้ไปฝังหรือเผาในจุดที่ไกลจากชุมชน โดยอาจจะไม่เชิงเป็นสถานที่เพื่อฝังศพโดยเฉพาะนัก แต่เป็นพื้นที่ว่างที่ห่างไกลจากชุมชน แล้วนำศพมารวมๆในบริเวณเดียวกัน โดยหมู่บ้านบางแห่งที่ใกล้ทะเลอาจจะทำการแต่งศพให้สวยงามก่อนโยนลงทะเล1 แต่เมื่อสังคมขยายตัวจนเป็นสังคมที่มีกำลังการผลิตระดับอุตสาหกรรม พร้อมกับจำนวนผู้บริโภคที่เพิ่มสูงขึ้น เกิดภาครัฐเข้ามากำหนดกลไกการผลิตและการบริโภครวมไปถึงวิถีการใช้ชีวิตของผู้อยู่ใต้ปกครองอย่างชัดเจน ก็เริ่มมีบริษัทที่เข้ามาจัดการกับศพแทน แล้วบริษัทที่รับทำหรือการจัดทำพิธีเหล่านี้ก็ขยายตัวจนกลายเป็นธุรกิจไปในที่สุด2 แล้วถึงแม้การจัดศพอาจจะเป็นไปตามฐานะของผู้จัดก็จริง แต่ที่แน่ๆสิ่งเหล่านี้ย่อมส่งผลให้การดำรงชีวิตของคนในสังคม ”ส่วนใหญ่” ห่างไกลจากศพ ดังที่พระเอกผู้เติบโตในสังคมเมืองขนาดใหญ่ไม่เคยพบศพ เมื่อพบศพครั้งแรก แล้วต้องจัดการกับมันย่อมรับไม่ได้

สาเหตุที่บริษัทเหล่านี้เข้ามาจัดการกับศพในสังคมขนาดใหญ่แทนคนในสังคมเข้ามาช่วยจัดการร่วมกันนั้น เพราะเป็นที่แน่นอนอยู่แล้ว ว่าหากไม่จัดการศพให้ดี ปล่อยไปนานๆเข้าอาจนำมาซึ่งเชื้อโรคชนิดต่างๆ อันเป็นบ่อเกิดของโรคระบาด ยิ่งเมื่อสังคมเปลี่ยนไป มีการขยายตัวภายในสังคมมากขึ้น คนกลายเป็นฟันเฟืองเพื่อการผลิตสำหรับภาครัฐ ด้วยค่าแรงขั้นต่ำที่ได้รับย่อมไม่มีเวลามากพอที่จะใส่ใจในเรื่องอื่นไปมากกว่าการทำงานเพื่อการผลิตและยังชีพเพื่อสนองต่อความต้องการของรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งให้ตนเองสามารถดำรงอยู่ภายใต้รัฐ ซึ่งโดยตรรกะง่ายๆ ถ้าหากไม่จัดการสิ่งสกปรกให้ดีจนเกิดโรคระบาดในสังคมที่มีขนาดใหญ่ ความเสียหายย่อมตามมาเป็นเท่าตัว ซึ่งส่งผลไปถึงระบบเศรษฐกิจ และการปกครองภายในรัฐ ไม่ให้รัฐสามารถดำเนินการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ รัฐที่เป็นผู้ผูกขาดอำนาจในการมีชีวิตอยู่ของคนในรัฐ ย่อมต้องเข้ามาจัดการกับสุขอนามัยและสาธารณสุขของคนในสังคม ไม่ว่าการสร้างโรงพยาบาล ระบบสาธารณะสุขที่ปราศจากเชื้อโรคอันก่อให้เกิดโรคระบาด เพื่อลดจำนวนความเสียหายนี้ให้น้อยลง และส่งผลให้ชีวิตของมนุษย์มีคุณภาพสูงขึ้น3

แต่ถึงแม้ว่ารัฐจะมีกระจายอำนาจผ่านระบบ ดังให้ความสำคัญแก่ชีวิต แต่ก็เป็นการจัดการคนในรัฐจากความเป็นปัจเจกบุคคลกลายเป็นเพียงฟันเฟืองตัวหนึ่งเพื่อดันสังคมให้สามารถเดินหน้าต่อไปเท่านั้น เมื่อฟันเฟืองตัวนี้หมดสมรรถภาพที่จะเดินหน้าต่อไปได้ รัฐย่อมนำมันไปกำจัดทิ้ง

1 ซิงเกอร์, ไอแซค บาเซวิส และคนอื่นๆ, 2551, กิมเพลจอมโง่, พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ: นาคร.

2 http://www.positioningmag.com/prnews/prnews.aspx?id=52629

3 การใช้อำนาจในเชิง regulating power ตามทฤษฎี govermentality ของMichel Foucault

ตามระบบของรัฐ โดยไม่สนใจว่าเขาเหล่านั้นเป็นใคร มาจากไหน มากไปกว่าเป็นไปตามครรลองและสามารถตอบสนองอะไรให้แก่รัฐได้

แต่ภายในหนังเรื่องนี้ มิใช่ว่าบริษัทจัดการศพเข้ามาจัดการศพแต่เพียงฝ่ายเดียว ผู้ที่มีความสัมพันธ์ต่อศพนั้นๆย่อมต้องเข้ามาจัดการ แสดงอารมณ์ต่างๆ รวมไปถึงมีคนอื่นๆที่มีความสัมพันธ์กับศพในระดับรองๆลงไปคอย “เจ้ากี้เจ้าการ” ในกระบวนการจัดทำศพนั้นด้วย เนื่องจากศพเป็นเครื่องแสดงถึงความสัมพันธ์และความทรงจำที่ “จบตอน” จากสังคม เป็นผลผู้ที่มีชีวิตที่สัมพันธ์กับผู้ตายรู้สึกว่าชีวิตตัวเอง ”ขาดตอน” จากคนในสังคมคนอื่นๆ ดังนั้นนั้นคงไม่เป็นการดีเท่าใดนักหากอาการ “ขาดตอน” ส่งผลให้ตัวฟันเฟืองมีปัญหาภายในสังคม หรือแม้แต่ภายในรัฐเอง ฉะนี้แลจึงมีการแสดงออกทางอารมณ์ต่างๆของผู้ที่สัมพันธ์ในศพ ซึ่งเป็นหนึ่งที่ช่วยปลดปล่อยความรู้สึกขาดตอนที่อัดอั้นอยู่ออกมาและเป็นการแสดงถึงการมีอยู่ของ “ศพ” หรือ “ความทรงจำ” นั้น(4) พร้อมกันนั้นสังคมก็พยายามนำฟันเฟืองกลับเข้าสู่ภาวะปกติ คือการที่คนภายในสังคมผู้เกี่ยวข้องกับคนตาย หรือเคยมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ตายและญาติผู้ตายเข้ามา จัดการดึงผู้มีชีวิตให้กลับเข้าสู่สังคม เพื่อให้ชีวิตของเขาเหล่านั้นสามารถกลับมารวมกลุ่มในสังคม และดำเนินชีวิตต่อจากช่วงที่ขาดตอนไป

1 อ้างอิงจาก Emile Durkheim ทฤษฎีหน้าที่นิยม กับการศึกษาปัญหาสังคมสมัยใหม่

มีคนเข้ามาช่วยจัดการเรื่องพิธีมากมายจนฉันหัวหมุนไปหมด ฉันจำไม่ได้ว่าใครเป็นใครบ้าง ซึ่งในเวลาต่อมาหลังจากที่ศพของพ่อมาถึงวัด ก็มีคนให้ฉันกับพี่สาวใส่ชุดผ้าดิบสีขาวขึ้นไปรดน้ำศพพ่อ ซึ่งพิธีนี้แม่ของฉันไม่ค่อยพอใจนัก โดยอ้างว่ามันเป็นพิธีของคนไทยไม่สอดคล้องกับพิธีจีน แต่ลึกๆแล้วแม่ของฉันไม่พอใจคนเสนอพิธีนี้ที่เป็นญาติฝ่ายพ่อ เนื่องจากเขากล่าวว่า เป็นเพราะแม่พ่อจึงได้ออกไปตายข้างถนนแบบนั้น…

จากนั้นก็มีการให้คนอื่นๆขึ้นไปรดน้ำศพ ก่อนจะให้พี่สาวคนโตกลับหัวตะเกียบป้อนข้าวให้พ่อเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อเป็นการระลึก และให้ลูกสาวทุกคนยกแขนพ่อเพื่ออธิษฐานจิตถึงดวงวิญญาณที่ล่วงลับ ก่อนที่แม่จะเข้ามาร้องไห้กอดศพพ่อเป็นครั้งสุดท้าย แล้วนำพ่อลงโลง

เป็นครั้งแรกที่ฉันได้รู้ว่า โลงที่จะใส่ศพของคนจีนเขาไม่ได้นำลงไปทีเดียว ทางร้านโลงเขามีการใส่ใบชาเข้าไปเพื่อซับกลิ่น ก่อนจะใส่กระดาษซับน้ำเหลืองตาม แล้วใส่ศพลงไป จากนั้นก็ใส่อ่วงแซจิ่ว (ใบเบิกทาง) ตั่วกิม (กระดาษสีส้มมีสีทองอยู่ตรงกลาง) และกิมจั้ว (กระดาษเงินกระดาษทอง)

4.อ้างอิงจาก Emile Durkheim ทฤษฎีหน้าที่นิยม กับการศึกษาปัญหาสังคมสมัยใหม่

คลุมศพ ก่อนใส่เสื้อผ้าทั้งหมดที่พ่อมีอยู่ลงไป โดยเย็บกระเป๋าเสื้อกับกระเป๋ากางเกงเอาไว้ จากนั้นจึงปิดโลง

ในคืนนั้น มีการนำซุ้มผ้าเขียนตัวอักษรจีนจากทางสมาคมจีนมาประดับที่หน้าโลง พวงหรีดจากคนรู้จักก็ทยอยส่งกันมาเป็นลำดับ โดยช่วงนั้นญาติทางแซ่ของฝ่ายพ่อ พร้อมกับคนรู้จักที่ดูฮวงซุ้ยเป็น จะพาแม่กับพี่สาวสองคนโตไปหาสถานที่ผังศพในจังหวัดชลบุรี ส่วนฉันกับพี่สาวคนรองก็ไปสำเพ็งกับเพื่อนบ้าน หาซื้อผ้าเช็ดหน้ากับของชำร่วย พร้อมสั่งของใช้ชนิดต่างๆ จำพวกบ้านกระดาษ ที่จะใช้ในพิธีกงเต็ก เพื่อเผาให้แก่ดวงวิญญาณที่อยู่ในปรโลก

แม่กับพี่สาวสองคนโตดูจะดีใจที่หาหลุมศพให้พ่อของฉันได้ ทุกคนต่างมาเล่ากันว่าหลุมศพเลือกไม่ถึงสิบนาทีเท่านั้น พอไปเลือกป้ายหลุมศพที่ร้านต่อก็เหลือป้ายสุดท้ายพอดี ราวกับทุกอย่างถูกจัดเตรียมเอาไว้เพื่องานศพของพ่อ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกสิ่งที่ “ราวกับถูกจัดเตรียมเอาไว้” ก็ตามมาพร้อมกับค่าใช้จ่ายที่สูงลิบลิ่วด้วย

งานศพดำเนินต่อไปเป็นลำดับ ฉันกับพี่สาวต้องใส่ชุดผ้าดิบ ฟังสวดศพและพับกิมจั้วเพื่อนำไปเผาทุกวัน จนเกือบวันสุดท้ายคือวันที่ 6 ของงาน ก็มีการจัดพิธีกงเต็ก ทางผู้จัดได้นำรูปภาพพระโพธิสัตว์มาจัดวางและเตรียมของต่างๆเอาไว้แต่เช้า ก่อนฉันกับพี่สาวจะเริ่มใส่ชุดกระสอบช่วงบ่ายเพื่อฟังสวดมนต์จีน ทำพิธีต่างๆตามแต่ทางพระจีนจะนำพา ก่อนจะเวียนเทียนรอบเจดีย์กระดาษใส่เหรียญเพื่อเปิดขุมนรกให้ดวงวิญญาณนั้นได้ไปข้ามสะพาน ต่อจากนั้นก็มีการแสดงกายกรรมแบบจีน เมื่อจบกายกรรมทางสมาคมของตระกูลฝ่ายพ่อขึ้นมาพูดอะไรบางอย่าง จากนั้นก็เป็นพิธีข้ามสะพาน เนื่องจากที่บ้านไม่มีผู้ชาย จึงให้พี่สาวคนโตถือกระถางธูปของพ่อ ซึ่งเป็นเสมือนพาดวงวิญญาณขึ้นสู่สวรรค์โดยคนมีชีวิตอยู่ตามมาส่งด้วย ส่งเสร็จก็ข้ามกลับโดยทุกครั้งที่ข้ามสะพานต้องโยนเหรียญสตางค์ลงในอ่างน้ำ โดยในพิธีนี้มีเพียง 7 คน คือลูกๆสี่คนกับญาติอีกสามคนเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับมาตรฐานครอบครัวคนจีนโดยทั่วไป

วันสุดท้ายที่จะต้องเอาพ่อไปฝัง ทุกคนที่เป็นญาติต้องใส่ชุดกระสอบ แล้วนั่งรถทัวร์ไปกับพร้อมกับโลง โดยแขกที่มาจะนั่งรถทัวร์ที่จัดเอาไว้อีกสองคัน เมื่อถึงสถานที่ก็มีพระมาผูกสายสิญจน์จูงโลงศพที่มีคนแบกเอาไว้ โดยพี่สาวสองคนโตถือรูปภาพและกระถางธูปของพ่อ ก่อนที่เขาจะนำโลงลงไปในหลุม แล้วเริ่มทำพิธีสวดมนต์ โดยมีคนมาเจิมอะไรบางอย่างที่ป้ายหลุมศพ จนเมื่อเสร็จพิธีฉันกับพี่สาวและคนอื่นๆต้องขึ้นไปบนหลุมเพื่อหยิบทรายที่อยู่ในบริเวณนั้นโยนลงไปในหลุมพร้อมกับแขกเหรื่อที่มาด้วย หลังจากนั้นก็มีคนมาแบกฝาปูนโบกอย่างดีปิด   หลุมศพ

นับเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆที่ฉันเห็นพ่อ… ก่อนที่จะต้องแยกจากกันไปตลอดกาล

ฉันละตัวเองจากภาพบันทึกของเด็กในวัย 11 ปีกลับมาอยู่ที่จอ Theater อีกครั้ง

บริษัทรับจัดการศพจากเรื่อง Departure บริการตั้งแต่ขายโลงศพ ไปจนถึงแต่งตัวพร้อมแต่งหน้าศพตามพิธีกรรมแบบญี่ปุ่นเสร็จสรรพ ซึ่งการแต่งหน้าศพนี้เองเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเรื่อง จากพระเอกที่แทบจะรับไม่ได้เมื่อเห็นศพครั้งแรก ก็เริ่มกระตือรือร้นที่จะทำงานอีกครั้ง เมื่อเห็นนายจ้างของเขาจัดการใส่เสื้อและแต่งหน้าด้วยความประณีตและความรัก สร้างความรู้สึกราวกับศพกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เรียกความทรงจำต่างๆที่ญาติผู้เสียชีวิตมีต่อศพให้กลับคืนมา ก่อนที่จะนำศพลงโลง

ให้กลับมามีชีวิตใหม่ ก่อนเดินทางไปสู่ความงดงามอันเป็นนิรันดร์…

ครั้งแรกที่ภรรยาของพระเอกรู้ ภรรยาเขารับไม่ได้ จึงได้หนีกลับไป แต่พระเอกก็ยังคงตั้งใจทำงานนี้ต่อไป จนภรรยาได้มีโอกาสเห็นพระเอกทำศพคนที่รู้จักจึงยอมรับในอาชีพของพระเอก กระทั่งเมื่อใกล้จบเรื่อง ก็มีข่าวแจ้งมาว่าพ่อของเขาเสียชีวิตแล้ว หลังจากที่ไม่ได้เจอกันแทบจะตลอดชีวิต

หลังจากใช้เวลาทำใจ สุดท้ายพระเอกจึงตัดสินใจเข้าไปจัดการศพของพ่อพร้อมภรรยา พอจัดกาศพได้ไม่นานเขาก็ได้เจอหินก้อนนึงอยู่ในมือของศพ… หินเปลี่ยนผ่านความรู้สึกที่เขาแลกกับพ่อในยามที่เขาเป็นเด็ก ความรู้สึกว่าพ่อทอดทิ้งเขาเปลี่ยนไปหรือไม่คงไม่สามารถตอบได้ แต่ความทรงจำของพระเอกเกี่ยวกับพ่อเริ่มแจ่มชัด นับเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่พระเอกได้มีโอกาสเจอพ่อของเขา…

งานศพของมนุษย์ทุกวัฒนธรรมไม่ว่าจะเป็นในหนังหรือในชีวิตจริง ย่อมมีพิธีกรรมในการฝังที่ต่างออกไป โดยพิธีกรรมเหล่านี้นอกจากเป็นการรำลึกกันตามธรรมดาแล้ว ยังเป็นการรวมกลุ่มคนในสังคมที่เกี่ยวข้องกับศพนั้นเข้าด้วยกัน โดยนอกจากจะเป็นการช่วยดึงผู้มีชีวิตที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับศพให้กลับมาดำเนินชีวิตต่อภายในสังคมตามที่เคยได้กล่าวแต่ต้นแล้ว ในอีกนัยหนึ่งยังเป็นการให้ความสำคัญ แสดงถึงตัวตนของศพนั้นๆให้ประทับลงไปในความทรงจำ โดยศพนั้นถ้ายกเว้นว่าไม่ใช่ศพที่เกิดจากวิถีประชา หรือถูกฆ่าตายด้วยอำนาจจากรัฐ (Sovereign power) ก็ก็จะกล่าวถึงคุณงามความดีของคนตาย หรือทำพิธีกรรมต่างๆทางศาสนาให้เป็นอย่างดี ออกค่าใช้จ่ายไปอย่างเต็มที่ ไม่ว่าคนๆนั้นจะเคยได้รับการกล่าวขานว่าดีหรือเลวเพียงใดก็ตาม ซึ่งจะใหญ่โตและหรูหราตามสถานะของคนจัด โดยในทุกงานศพจะใช้ภาพที่ดีที่สุดของผู้ตายประกอบงาน หรือยิ่งงานศพของกลุ่มชนชั้นปกครองเช่นกลุ่มสถาบันพระมหากษัตริย์ในอดีตจะไม่มีภาพแก่ชราของกษัตริย์ปรากฏให้เห็นเลย

ถ้าหากการเขียนประวัติศาสตร์ในช่วงศตวรรษที่ 18-19 รวมไปถึงการมองชีวิตมนุษย์คือความก้าวหน้าไม่สิ้นสุด อาจจะนำมาใช้อธิบายถึงปรากฏการณ์งานศพ ว่าโดยสัญลักษณ์ของความก้าวหน้าของมนุษย์ก็คือหนุ่มสาว ซึ่งเป็นวัยเจริญพันธุ์ มีระยะวัยที่ยาวนานกว่าวัยอื่นๆ ดังนั้นจึงมีแรงดำเนินสังคมให้เดินไปข้างหน้า มีโอกาสสร้างปฏิสัมพันธ์กับคนในสังคมเป็นเวลานาน ความทรงจำต่อสิ่งหนึ่งๆในมนุษย์นั้นย่อมหมายถึงช่วงระยะเวลาที่มนุษย์โดดเด่นมากที่สุด

ดังนั้นเมื่อมนุษย์แก่ตัวลงและตายไป ความทรงจำของเขาต้องเต็มไปเหมือนสภาพที่ยังดำรงชีวิตในวัยหนุ่มสาว คือ “เสมือน” ยังโลดแล่นอยู่ภายในสังคม ประหนึ่งเขายังไม่ไปไหน นับเป็นการทำให้มนุษย์ผู้สูญสิ้นตัวตนบนโลกไปแล้ว สามารถดำรงอยู่ต่อไปด้วยความทรงจำที่มีต่อเขาเหล่านั้นได้ระยะหนึ่ง ถ้าเป็นประวัติศาสตร์ การเขียนก็คงเสมือนหนึ่งว่าพวกเขาเป็นผู้ส่งผลถึงปัจจุบัน และเป็นส่วนหนึ่งของปัจจุบัน

เป็นสิ่งสุดท้ายที่สังคมพึงให้เกียรติ แก่ผู้ที่ “หมดเวลา”มาสร้างปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆในสังคมอีก1

ซึ่งตรงนี้ย้อนกลับมาที่กระบวนการพิธีกรรมเหล่านั้น ซึ่งมักจะเกิดจากความเชื่อทางศาสนาของศพนั้น โดยความเชื่อทางศาสนา ถ้าหากไม่ใช่พื้นฐานทางศาสนาแบบ Monistic จนเกินไป ย่อมมีระบบจริยธรรม ศีลธรรมกำกับอยู่ในความเชื่อนั้นค่อนข้างมาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นการจัดระเบียบสังคมให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ ด้วยสำนึกความทรงจำร่วมกัน (Collective memory)ดังที่พระเอกของเรื่องเห็นหินในมือพ่อ แล้วเริ่มจำพ่อได้ชัดเจนขึ้น ก่อนจะทำศพพ่อไปทั้งน้ำตา ซึ่งหินนี้เป็นสิ่งที่แสดงถึงการดำรงอยู่ของพระเอกในความทรงจำของพ่อ และมันยังคงอยู่ในหินแม้ร่างกายจะกลายเป็นศพไปแล้ว อันเป็นความทรงจำพื้นฐานแรกที่มีร่วมกัน ยิ่งเมื่อรวมบริบทที่พระเอกผ่านการทำพิธีกรรมศพ เห็นผู้คนร้องไห้ ถึงการจากไปแล้ว สำนึกในความสัมพันธ์พื้นฐานครอบครัวทั่วๆไปของสังคมที่พระเอกมีก็กลับคืนมาด้วย

ที่น่าเศร้าคือสิ่งเหล่านี้กลับมาเมื่อคนที่มีความสัมพันธ์ร่วมกลายสภาพเป็นศพไปเสียแล้ว…

โดยข้อสังเกตหนึ่ง รัฐอาจมีการใช้พื้นฐาน Collective memory มาใช้ในการกำหนดกลไกเพื่อควบคุมคนภายในสังคมให้ไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อง่ายต่อการปกครองคน เพราะจะได้ไม่เกิดความขัดแย้งทางอำนาจต่อผู้อยู่ใต้ปกครอง โดยถ้ามองไปถึงพิธีการทำศพ เพราะเมื่องานศพเป็นพิธีกรรม

1 Emile Durkheim – ritual as means to reaffirm collective conscience and solidarity [body participating in ritual while the mind “feel”

ที่มาจากความเชื่อทางศาสนาแล้ว หากรัฐนั้นๆไม่ได้ให้อิสระในการนับถือศาสนา หรือมีศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นแกนหลักของรัฐอย่างเดียว ย่อมส่งผลต่อพิธีกรรมในงานศพ ดังการทำพิธีศพของทางศาสนาคริสต์โรมันคาธอลิกในยุคกลางที่จะไม่รับทำศพบางประเภท หรือศพนอกนิกาย หรือบทละครเรื่อง Antigone ในยุคกรีกที่มีกฎว่าหากศพมิได้ตายอย่างปกติ หรือตายด้วยความผิดต่ออะไรบางอย่าง ก็จะไม่สามารถทำศพได้ตามพิธีกรรม เป็นต้น

เนื่องจากปฏิสัมพันธ์ หรือความทรงจำของผู้มีชีวิตที่มีต่อศพนี้เอง ส่งผลในการให้คุณค่าต่อศพ หรือวัตถุที่หมดอายุการใช้งาน จึงทำให้มันมีอำนาจ เพราะนอกจากศพจะมีความทรงจำพื้นฐานต่อผู้มีชิวิตอยู่แล้ว ภายในยังมี Collective Memory ที่ถ้าใครเป็นผู้จัดการ ก็เท่ากับมีอำนาจทางสังคมไปโดยปริยาย

ฉันดูหนังจบ แล้วไปกินข้าวกับรุ่นพี่ที่วรรณศิลป์ จึงค่อยกลับมาที่หอ อยู่กับตัวเองแบบวันที่ผ่านๆมา…

แม้ฉันไม่มีโอกาสเห็นร่างของพ่อฉันอีก แต่ภาพพ่อในตอนเย็นวันที่ 22 กรกฎาคม 2545 จ้องมายังฉันก่อนออกไปตายของเด็กวัย 11 ปี โดยที่ฉันจ้องตอบกลับไปด้วยความรู้สึกเกลียดกลัวและหวาดระแวงยังคงฝังรากลึก ฉันไม่ได้โชคดีเหมือนพระเอกในหนังที่ใบหน้าพ่อของเขานั้นลางเลือนเต็มทนในระหว่างที่เขาโตขึ้น เพราะยิ่งฉันโตขึ้น สายตาคู่นั้นยิ่งมองกลับมาที่ฉันอย่างแจ่มชัด

จนถึงทุกวันนี้ฉันก็ยังตอบไม่ได้แน่ชัดว่าแววตาของพ่อคู่นั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกเช่นใด

ถึงแม้จากคำสั่งเสียสุดท้ายของพ่อที่บอกให้พี่สาวดูแลน้องให้ดี จะแสดงว่าเขาดีต่อฉันและรักฉันมากมายเพียงใด แต่ฉันสามารถพูดได้เต็มปากว่า หากพ่อยังอยู่ ฉันคงไม่มีอิสระในการใช้ชีวิต รวมไปถึงจัดการกับปัญหาชีวิตเรื้อรังต่างๆจนกลายมาเป็นฉันแบบทุกวันนี้ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า สถานะของครอบครัวในบ้านกับพ่อเป็นลักษณะแบบ Patriarchy ในแง่ของผู้ชายเป็นใหญ่ปกครองสมาชิกภายในบ้านแบบวันดีคืนร้าย ดังที่พ่อเคยพูดกับพี่สาวเอาไว้เมื่อตอนพี่ไปเฝ้าไข้พ่อที่โรงพยาบาล ว่า “ญาติมิตรเปรียบเหมือนดั่งแขนขา ลูกเมียเปรียบเหมือนดั่งเสื้อผ้า” ดังนั้นพ่อจึงไม่มีความจำเป็นต้องเกรงใจหรือเห็นความเท่าเทียมของสมาชิกผู้หญิงภายในบ้าน ในฐานะผู้หาเลี้ยงครอบครัวและกุมเงินทั้งหมด

มีบางคืนที่ฉันมักจะฝันเห็นพ่อเข้ามาทำร้าย มาฆ่าฉัน หรือเข้ามาจำกัดการใช้ชีวิตให้เดินไปในรูปแบบเดิมๆ ก่อนจะตื่นมาด้วยความกลัวว่าตอนนี้พ่ออยู่บ้าน แล้วชีวิตของฉันหลังจากนี้จะดำเนินไปอย่างไร จนซักพักจึงได้สติว่า พ่อตายไปนานแล้ว

กระนั้น ยิ่งฉันโตขึ้นมากเพียงใด ความทรงจำในตอนเย็นวันที่ 22 กรกฎาคม ก็ตามมาหลอกหลอนฉันเป็นทับทวี

แต่ถ้าพิธีกรรมงานศพเป็นไปตามที่ใช้ทฤษฎีมาวิเคราะห์ โดยเหคุผลฉันก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องจำ เพราะมันเป็นแค่ปรากฏการณ์ต้นเหตุที่อยู่ภายในสังคม แล้วฉันจะจำหรือไม่จำมันก็สมองของฉัน ชีวิตของฉันเอง

แต่ทุกวันนี้ฉันกลับตอบไม่ได้ว่าฉันควรรู้สึกดีใจหรือเสียใจที่พ่อของฉันจากฉันไปตอนวัยเด็ก ถ้าฉันไม่เสียใจ ฉันจะต้องโดนแม่ว่าด้วยคำพูดเดิมๆ ว่าฉันไม่ค่อยร้องไห้ตอนงานศพหรือไม่? วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาที่ผ่านมาทุกคนจะว่าฉันที่ไม่ไปงานครบรอบวันตายของพ่อไหม? เนื่องจากฉันกลัวเรียนไม่ทัน แล้วมีการเช็กรายชื่อในวิชาเรียนบางคาบ ซึ่งฉันไม่มั่นใจเลยว่าอาจารย์ผู้สอนในวิชานั้นๆจะรับฟังเหตุผลที่ฉันไม่มาหรือเปล่า

ดังนั้นโดยบริบททางสังคมฉันจึงเหมือนถูกบังคับให้จำไปโดยปริยาย แม้จะอยากลืมแค่ไหนก็ตาม

ก้าวอื่นๆ

 

by pp. & saifon

 

ก้าวอื่นๆ

ใส่ความเห็น