สัญญาตราบสายัณห์
ผมเป็นคนโรแมนติก
ไม่เชื่อ?
ก็ช่างหัวพวกคุณดิ
หยั่งอีวันก่อนนั่นปะไร ผมเปิดมติชนสุดสัปดาห์ไปปะเรื่องราวของเฒ่าหลิวกับยายซู ที่คุณลุงวีรกร ตรีเศศ นำมาฝากในคอลัมน์อาหารสมองของแก ทำให้เลือดลมโรแมนติกวิ่งเวียนทั่วสรรพางค์กายจนขนลุกซู่ซ่า น้ำหูน้ำตาพาลจะเล็ดไหล มือไม้สั่นเทา จิตใจเต้นเร่าๆ จนอยากจะนั่งลงเขียน “เรื่องรัก” ของผู้เฒ่าทั้งสองเป็นคอลัมน์มาจะกล่าวบทไปนี้เสียให้ได้ในตอนนั้นเลยเทียว
ยังจำเรื่องรักของผู้เฒ่าทั้งสองนี้ได้ไหมครับ ก็เมื่อปีที่แล้วนั่นยังไง ที่สังคมชาวเน็ตพากันเวียนฟอร์เวิร์ดเมล์เรื่องราวของทั้งสองให้กันอ่าน กระผมขอท้าวความให้ฟังอีกสักนิดก็แล้วกันนะครับ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว คะเนว่าคงจะหลายชั่วอายุยุงอยู่หรอก ก็แลครั้งนั้น หนุ่มน้อยวัย 19 ปี ผู้มีนามว่า หลิว โกวเจียง ดุ่มเดินไปตกหลุมรักม้ายสาวพราวเสน่ห์นามว่า ซู เฉากวิน เข้าแบบเต็มตีน
ทว่า…
“หล่อนมีลูกแล้วนะ!”
“หญิงมีราคีคาว!”
หลิว จะโดนประโยคคำพูดเหล่านี้ซัดใส่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ด้วยสังคมจีนแต่หนนั้น ไม่ยอมรับเรื่องรักต่างวัยที่ฝ่ายหญิงอายุมากกว่าฝ่ายชาย ยิ่งเป็นหญิงที่ผ่านการมีครอบครัว มีลูกติดตัวมาด้วยเหมือนซูแล้วล่ะก็ นั่นถือว่าเป็นความผิดระดับเดียวกันกับการก่อกบฏต่อระบบศีลธรรมเลยทีเดียว
“หลิว เธอเสียใจมั้ย?” สาวซูซักถามคำนี้อยู่บ่อยหน หลังจากชายคนรักพาเธอลี้สังคมขึ้นมาอยู่บนภูสูงที่ร้างไร้ผู้คน ชั้นแต่ถนนหนทางก็ยังมิกล้าแยงขึ้นไปถึง
“ไม่เลยซู ตราบเท่าที่เราขยัน ชีวิตเราจะดีขึ้น” หนุ่มน้อยตอบสาวคนรัก
ว่ากันว่าพลังแห่งความรักนั้น แม้จะใช้ถมทะเล ย้ายภูเขา เขย่าสวรรค์ ก็ยังได้สบายบรื๋อเบบี้ดอล กะอีแค่บันไดหิน 6,000 กว่าขั้น ไยหนุ่มหลิวจะใช้พลังรักมาตอกแกะเป็นขั้นบันไดให้เท้าน้อยๆ ของสาวซู เหยียบย่างลงมาจากรังรักบนเขาไม่ได้เล่า
50 ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก
ชายชราวัย 72 ปี ที่บรรลุภารกิจแกะบันไดให้สาวคนรักเดินลงมายังหมู่บ้านได้สำเร็จ และเพิ่งจะกลับจากกรำงานไร่ ได้จากไปอย่างสงบในอ้อมกอดของภรรยาที่กำลังสวดมนต์ให้เขาในเย็นวันหนึ่ง
“หลิว คุณสัญญาว่าจะดูแลฉัน คุณจะอยู่กับฉันถึงวันที่ฉันตาย แต่ตอนนี้คุณจากฉันไปแล้ว ฉันจะอยู่อย่างไรเมื่อไม่มีคุณ” หญิงหม้ายคำรบสองคราญแผ่วเบาอยู่ข้างโลงศพของสามีหลายวัน
โอ้ว ยายซูเอ๋ย กระผมในฐานะหลานผู้ริรักตามชั้นเชิงของตาหลิว อยากจะกระซิบฝากสายลมไปบอกคุณยายว่า ถึงแม้ตาหลิวจะตายไปแล้ว ทว่าความรักที่ตามีต่อยายนั้นจะมั่นคงมิเสื่อมคลาย กระผมเชื่อเหลือเกินว่า กาลเวลากว่า 50 ปีที่ตาหลิวเฝ้าแกะสลักหินเป็นขั้นบันไดให้ยายซูเดินลงมาจากเขาได้นั้น ทุกริ้วรอยลิ่มเหล็กที่สลักลงไป จะคือรอยรักร่องอาทรที่ห้อมล้อมยายซูอยู่มิเสื่อมคลาย
(เอ…เข้ากับคอนเซ็ป “จำ” ของก้าวฯ ฉบับนี้ตรงไหนหว่าเนี่ย เดี๋ยวต้องโน้มให้เข้าประเด็นหน่อยแล้ว)
เห็นอานุภาพของความจำกันหรือยังล่ะครับ?
(อา…เอาล่ะ เริ่มจะสวยแล้ว)
มิใช่เพราะตาหลิวจำคำมั่นสัญญาที่ว่าจะคอยดูแลยายซูได้ตลอดเวลานี่ดอกหรือ แกถึงได้ทำงาน “หิน” แบบนั้นได้สำเร็จ
คนที่จำไม่ลืมซ้ำซื่อสัตย์ต่อคำสัญญาของตนแบบนี้น่ายกย่องสรรเสริญ
คำสัญญา – ครับใช่ ที่เขียนโม้มาตั้งนานนั้น ผมรอคำนี้แหละ
“สัญญา” เป็นคำบาลี แปลว่า “จำได้, หมายรู้” ซึ่งอาจจะจำได้หรือหมายรู้ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ได้ที่ไม่เกี่ยวกับคำพูดเลย ทว่าดูเหมือนคนรุ่นใหม่ทุกวันนี้ มักจะเข้าใจว่ามันหมายถึง “คำมั่นสัญญา” เพียงอย่างเดียว
สัญญา ในพระพุทธศาสนาท่านจัดว่าเป็นขันธ์หนึ่งในขันธ์ห้าที่ประกอบขึ้นมาเป็นคน
มาคุยกันเรื่องขันธ์ห้าก่อนสักนิดเนาะครับ
รูป – แท่งแข็งๆ ที่เห็นเป็นคน (ร่างกาย)
เวทนา – ความรู้สึกทั้งมวล
สัญญา – จำได้, หมายรู้ว่านั่นเป็นนั่น นี่เป็นนี่
สังขาร – การปรุงแต่งของจิต (ความคิดที่เคลื่อนไป)
วิญญาณ – จิต, ตัวรู้
เคยได้ยินคำพูดนี้ไหมครับว่า “เรียนเก่งจัง ความจำดีเนาะ”
คนจะเรียนเก่ง หรือทำอะไรได้ดีมักจะเป็นคนที่มีสัญญาหรือว่ามีความจำดี พอจำหลักหรือจำหมุดต่างๆ ได้ดี สังขารคือความคิดก็จะทำงานได้คล่อง คือสามารถหยิบฉวยเอาความจำมาใช้ในการเรียนรู้ กระทั่งรู้จักเชื่อมโยงสอดประสานประเด็นนี้ไปหาประเด็นโน้น ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเป็นองค์ความรู้หรือเป็นทฤษฎีใหม่ขึ้นมาได้
หรือหากจะเปรียบกับคำพูดยอดฮิตของไอน์สไตน์ที่ว่า “จินตนาการสำคัญกว่าความรู้” แล้วล่ะก้อ สัญญาหรือว่าความจำได้นี้จะเหมือนความรู้ที่เคยเรียนมา (ฟังมา, เห็นมา, ดมมา, สัมผัสมา) แล้วจำเอาไว้ได้ ส่วนจินตนาการจะคือสังขารที่ปรุงแต่งต่อเติมออกไปอีก
สัญญา หรือว่าความจำได้หมายรู้นี้ จึงเป็นขันธ์หนึ่งที่มีความสำคัญมาก (มากๆ)
ลองนึกดูเล่นๆ สิครับว่า ความเป็นสีนั่นสีนี่ หรือความเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ก็ล้วนเกิดขึ้นมาจากสัญญาของคนเราทั้งสิ้น
หากคนเราจะยินยอมพร้อมใจกันตั้งสัญญาใหม่ คือ ไม่เรียกไก่ว่าเป็นไก่ แต่เรียกว่ามันเป็นเป็ดแทนจะได้ไหม? ก็ย่อมได้
หากคนเราจะสัญญากันว่าเอาขี้ไก่มาเป็นเงินแลกเปลี่ยนแทนกระดาษธนบัตรแบบทุกวันนี้ได้ไหม? แน่นอน ได้อยู่แล้ว เพราะเราเคยใช้กระทั่งเปลือกหอยแทนเงินกันมาแล้วนี่นา
ความเป็นสีนั้นสีนี้ก็เหมือนกัน หากเราจะตั้งชื่อให้มันใหม่ทั้งหมดเลยได้ไหม? ก็ได้อีกนั่นแหละ
สรุปว่าใดๆ ในโลก ของต่างๆ ธาตุต่างๆ มันก็อยู่ของมันอยู่อย่างนั้น แต่มนุษย์เอา “สัญญาไปป้ายมัน” หรือว่า “ไปตั้งชื่อให้มัน” เพื่อจะได้เรียกมันถูก ใช้งานมันได้ถูก ซ้ำในของสิ่งเดียวกัน คนเรายัง “สร้างสัญญา” ให้มันได้ตั้งหลายสิบหลายร้อยชื่อ
ก็ภาษาของคนนี่แหละครับคือการทำงานของสัญญา แม้จะพูดถึงสิ่งเดียวกัน หรือเรื่องเดียวกัน แต่หากเป็นคนละชาติคนละภาษา และเราไม่มีสัญญาในภาษานั้นๆ ก็ใบ้กินเหมือนกันแหละครับ
การตั้งสัญญาหรือว่าตั้งชื่อให้สิ่งนั้นสิ่งนี้ดีไหม?
ดีสิเนาะครับ เพราะจะได้ใช้งานมันได้ถูกได้ตรง
แต่จะไม่ดีก็ต่อเมื่อคนเรามาหลงสัญญา คือติดอยู่ที่คุณค่าเทียมหรือว่าสมมุติมากไป กระทั่งเข้าไม่ถึงคุณค่าแท้ของสิ่งต่างๆ ทั้งหลายทั้งปวง
สัญญา หรือว่า ความจำได้, หมายรู้ถูก จึงสำคัญดังนี้ล่ะขะรับ
วุ้ย ขึ้นต้นมาด้วยเรื่องรัก ไหงตอนจบทำท่าจะพากันบรรลุธรรมแบบนี้ล่ะเนี่ยหือ
คนเขียนเซ็งเลยนะเนี่ย
ไปดีกว่า
จบล่ะ
|
ใส่ความเห็น